หลังจากเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ทำให้ทริปในการปั่นจักรยานหายไป สิ่งที่พอจะทำให้เรายังรู้สึกได้ถึงคำว่า “ตื่นเต้น” บ้าง ก็คงจะเป็นทริปมอเตอร์ไซค์ และครั้งนี้เราก็นัดหมายกันว่าจะไป ดอยผาตั้ง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่
เนืองจากทุกคนต่างมีเวลา่ว่างส่วนใหญ่เฉพาะวันอาทิตย์ จึงทำให้เรื่องที่จะไปพักค้างอ้างแรมนั้นเป็นไปได้ยาก เราจึงต้องกลายเป็นทริปแบบไปกลับ วันเดียวจบ
เริ่มจากนัดหมายกันเวลา 06.30 น. บริเวณหน้าเซเว่น กาดแม่เหียะ ริมคันคลองชลประทาน รวมกลุ่มกันได้ประมาณ 18 คัน ก็ค่อย ๆ พากันทะยอยเกาะกลุ่มกันออกไปตามถนนเลียบคันคลองชลประทาน แล้วเลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าสู่ถนนเส้นหางดง มุ่งตรงไปยัง อ.จอมทอง เมื่อถึงแยกไฟแดงก็เลี้ยวขวา เพื่อที่จะขึ้นไปทางอำเภอแม่วิน ( เนื่องจากไม่ได้จดอะไรไว้เลย และก็เป็นครั้งแรกของผมที่ได้ไปเส้นทางนี้ จึงเก็บรายละเอียดอะไรไม่ได้มาก )
จำได้ว่า เมื่อถึงเขตอำเภอแม่วิน เราก็จะเจอปางช้าง อยู่ติดกับถนนเลย ถัดลงไปก็จะเป็นพื้นที่ปลูกอ้อย ที่นี่ก็จะมีบริการนั่้งช้าง ล่องแพ ล่องแก่ง อะไรประมาณนี้ครับ แต่ตอนที่ไปถึงเป็นช่วงสาย ๆ สัก เก้าโมงกว่า ๆ เขากำลังอาบน้ำช้าง ยังไม่ได้เอาแค่รนั่งใส่หลังช้างเลย พวกเราก็ได้แต่ยืนดูการเลี้ยงช้างของเขากัน นั่งดูไปก็เกิดอารมณ์ร่วมไป อารมณ์ที่ว่านี้ก็คือ ผมเห็นคนเลี้ยงช้าง ดูท่าทางยังวัยรุ่นกัน เขาพูดภาษาอะไรไม่ทราบ แต่น่าจะเป็นภาษากะเหรี่ยง เราฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่เห็นเขาพูดกับช้างได้สักประโยคสองประโยค ก็เอาตะขอเหล็กฟาดหัวช้างอย่างแรง ประมาณว่าใน 3 นาที ผมเห็นเขาฟาดหัวช้างไปสัก 3-4 ครั้งเห็นจะได้ สงสัียอารมณ์ค้างมาจากไหนไม่รู้ หรือว่าช้างมันฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้นะ… แม้จะไม่พอใจ ก็พยายามข่มอารมณ์แล้วคิดว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม… สมัยตอนเรียนผมเคยฝันว่าจะเลือกเป็นหมอสัตว์ป่า เพราะผมอยากรักษาช้าง แต่ผมลืมไปว่าช้างไม่ใช่สัตว์ป่า แต่เป็นสัตว์เศรษฐกิจ!!! ขนาดคนเรามีกุญแจรถอยู่ในมือ จะขี่ไปไหนสักร้อยกิโลพันกิโลก็ได้ มันยังเบื่อเลย แล้วธรรมชาติของสัตว์ที่ต้องเดินหากินเป็นอาณาบริเวณรัศมีสัก 50 – 100 ตารางกิโลเมตร มันจะไม่เบื่อยิ่งกว่าเราเหรอ สงสัียมันจะชิน เพราะคนคิดว่ามันต้องชิน เหมือนที่เขาว่ากันว่า “ความลำบากนั้นไม่มี มีแต่เรายังไม่ชิน”
พอเลยปางช้าง กับบริเวณที่เขาให้บริการล่องแก่ง ล่องแพ ทางจะเิริ่มคดเคี้ยวขึ้นแต่อากาศก็ยิ่งบริสุทธิ แล้วการออกทริปแบบนี้เราเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้ขี่รถบนถนนราดยางมะตอยเท่านั้น มันต้องมีแอดเวนเจอร์บ้าง ถนนที่คดเคี้ยวจะพาเราแหวก กูเกิ้ลแม็ปเข้าไป ไปเรื่อย ๆ คือการไปออกทริปจุดหมายปลายทางนั้นสำคัญพอ ๆ กับระหว่างทาง ลมเย็น ๆ ที่มาปะทะหน้า หรือหมอกเม็ดใหญ่ ๆ ซึ่งบางทีเราเข้าใจผิดคิดว่าเป็นฝนเสียด้วยซ้ำ ช่วยสร้างบรรยากาศการเดินทางให้ดูคุ้มค่ายิ่งขึ้น
ระหว่างที่บิดคันเร่งขึ้นเนินด้วยเกียร์ 1 นั้น ผมก็พูดกับตัวเองอยู่ในใจว่า เฮ้ย! กูยังไม่ตายโว๊ย ยังหายใจอยู่ ดีใจที่ได้มาเจอกับบรรยากาศแบบนี้ ผมเพลินกับธรรมชาติสองข้างทาง อย่างที่เรียกได้ว่า “เสพสุข”+ing
เราขี่รถกันไปเรื่อย ๆ จนมาวัดที่กำลังสร้างใหม่แห่งหนึ่ง เป็นของชาวกะเหรี่ยง ตัววัดเพิ่งสร้าง มีแต่ศาลากับพระประธานหนึ่งองค์ ตอนที่เข้าไปเราไม่เจอพระสงฆ์เลย เจอแต่เด็กผู้หญิงสองคนที่เอาวัวมาเลี้ยง โดยส่วนตัวผมคิดว่ากว่าจะขี่มาถึงที่นี่ก็ไกลนะ เกิดรถยางรั่วทำไง หรือเกิดโซ่ขาดจะทำไง เนื่องจากเราไม่มีรถบริการตามมา้ด้วย มีแต่มอเตอร์ไซค์ล้วน ๆ ซึ่งบางคนก็พกสูบลม พกยางอะหลั่ยมาด้วย เท่านั้นเอง
เมื่อคิดไ้ด้ว่ากว่าเราจะมาถึงที่นี่ได้ ทางก็ไกล ถ้าคนแถวนี้จะออกไปเข้าเมืองก็คงไกลสำหรับเขาเหมือนกัน ผมจึงบอกกับตัวเองว่า ทีหลังถ้าจะไปออกทริป ต้องซื้อเครื่องเขียน สมุดกับดินสอปากกา ติดกระเป๋าไว้เลย ถือเป็นคำมั่นสัญญา เพราะถ้าหากแถวนี้มีโรงเรียนผมก็จะได้เอาไปฝาก เผื่อเขาต้องได้ใช้กัน ช่วยอำนวยความมสะดวกในด้านการศึกษา น้อง ๆ เขาจะได้มีกำลังใจเรียนหนังสือกัน
ณ ที่วัดแห่งนี้เราเลยถือโอกาสพักรถกัน ให้หายร้อนเสียหน่อย ….
เมื่อหายเมื่อยและรถพร้อมจะไปต่อกันแล้ว เราก็ออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังโครงการหลวง เส้นทางนี้ขอบอกว่า ขี่รถมันมาก โค้งไปมา ระหว่างทางก็เห็นเรือกสวนไร่นาของชาวบ้าน มันได้ฟิลล์จริง ๆ feeling mania
ระหว่างทางมีหมอกหนา เราต่างก็เปียกปอน จนไปหยุดตรงโครงการหลวง แล้วขออนุญาติเขาเข้าไปเียี่ยมชมภายใน
เดี๋ยวมาต่อพรุ่งนี้ครับ ….