เมื่อโลกได้กำเนิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมา เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ พืช สัตว์ ตั้งแต่ชั้นต่ำจนถึงชั้นสูง ซึ่งมนุษย์เป็นผู้กำหนด ( เพราะสัตว์ชนิดอื่นไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับมนุษย์ด้วย ) การพัฒนาการของการสื่อสารคงเป็นไปในรูปแบบตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด เพื่อดำรงค์ไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์บนโลกใบนี้ ในเวลายุคนั้นโลกก็ใช่ว่าจะคงที่หรือสมบูรณ์แบบ ยังมีเปลี่ยนแปลงปรับตัวอยู่เสมอ ความผันแปรของพื้นผิว ความผัผวนของบรรยากาศ ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น พืช สัตว์ ต่างได้รับผลกระทบโดยตรงและทางอ้อม มีหลายสิ่งหลายอย่างเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง พืช สัตว์ ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในสภาพเช่นนั้นได้ ก็คงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ดำรงค์เรื่อยมา ส่วนที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มลดน้อยคอยหายจนสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ ในขณะเดียวกัน พืช สัตว์ ชนิดใหม่ก็เริ่มก่อกำเนิดขึ้นมา
โลกต้องผ่านกาลเวลามานานนับล้านปี จนมีสิ่งมีชีวิตหนึ่งบังเกิด ( มนุษย์ ) เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของพืชและสัตว์ก่อนหน้านี้ มนุษย์เองก็ต้องพยายามปรับสภาพกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อให้อยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน มนุษย์เป็นสัตว์ที่เรียนรู้ สอดรู้ในสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถที่มีอยู่ของมนุษย์นั้น เป็นเหมือนดังมนุษย์ได้รับความสามารถมาจากสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลกนี้ ( ถังขยะ ) ถึงแม้ความสามารถอาจไม่เทียบเท่ากับสัตว์ต้นแบบ แต่ด้วยสติปัญญาที่ผ่านการพัฒนาการมานับล้านปี มนุษย์ก็เรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ณ เวลานั้น มนุษย์จึงเป็นสัตว์ที่มีความฉลาด ( แกมโกง ) ในแทบทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่ตรงข้ามกับสิ่งที่มนุษย์เป็น ( ความโง่ ) ก็มีรวมอยู่ในตัวมนุษย์แทบทั้งหมด มนุษย์ได้พัฒนาไม่เพียงความอยู่รอดเท่านั้น แม้แต่การพัฒนาเรื่องอารมณ์ ความคิด ความเชื่อ ในสิ่งที่มนุษย์คิดว่าจะทำให้เผ่าพันธุ์ดำรงค์อยู่ได้ทั้งการยอมรับ การนอบน้อมชั่วคราว ( ประจบ เลียแข้ง เลียขา ) ในสิ่งที่ตนเองนั้นมิอาจจะต่อต้านได้
กระนั้นมนุษย์ได้ผ่านช่วงเวลามานับพันปีที่จะเรียนรู้ เข้าใจ ปฏิบัติ ให้สิ่งเหล่านี้แสดงตัวตนออกมาในรูปแบบของอารมณ์ ความรู้สึก?ผ่านเสียงของธรรมชาติที่เกิดขึ้น จากเสียงของสัตว์ชนิดต่าง ๆ จนถึงแมลงตัวเล็ก ๆ หรือแม้ความบังเอิญจากสิ่งที่มนุษย์กระทำ ไม่ว่าจากการนำวัตถุมากระทบกันหรือเสียดสีซึ่งกันและกัน มนุษย์ได้เรียนรู้จนสามารถกำหนดพื้นฐานระดับเสียงสูงต่ำ ตามเครื่องมือที่มนุษย์สามารถจะหาได้ในเวลานั้น ในเวลานั้นมนุษย์เพียงเพื่อแสดงออกต่อความเขื่อในเหตุการณ์ทีเกิด ความเชื่อของการดำรงชีวิต ความเชื่อของเผ่าพันธุ์ รวมถึงความเชื่อเพื่อความอยู่รอด ทั้งยังภัยธรรมชาติหรือสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจ ไม่อาจสัมผัสและแตะต้องได้ ( เทพเจ้า ) อารมณ์ของความกลัว ความพอใจ ทำให้มนุษย์ต้องพยายามแสดงออก เพื่อให้สิ่งที่มนุษย์ยำเกรงนั้นได้รับรู้ ในการตอบสนองของมนุษย์ ไม่ว่าจะด้วยการเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ หรือการนำวัตถุต่าง ๆ มาทำให้เกิดเสียง เพื่อต้องการสื่อสารบอกกล่าวไปยังสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสได้
ดนตรี นิยามที่มนุษย์ได้กำหนดคำนี้ขึ้นมา เพื่อบ่งบอกความมีตัวตนในรูปแบบของอารมณ์ ก่อนจะมีคำนิยามนี้ขึ้นมา การกระทำหรือการแสดงออกเช่นนี้เมื่อนานเข้า มนุษย์เลือกที่จะเรียนรู้และจดจำ นำสิ่งที่รับรู้เหล่านี้มาจัดเรียง จัดกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ เพื่อง่ายต่อความเข้าใจหรือการแสดงออกจากความเชื่อ ความเคารพต่อสิ่งที่มนุษย์เชื่อ ( เทพเจ้า ) ด้วยความเกรงกลัว มนุษย์ก็ได้ใช้สิ่งที่แสดงออกนั้นเพื่อความบันเทิงของตัวเอง
วัฒนาการของดนตรีมิใช่เพื่อจะหยุดเพียงเท่านี้ ดนตรียังคงเดินทางผ่านกาลเวลาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยไปพร้อมกับมนุษย์ ดนตรีเป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่งของหลาย? ๆ เรื่องที่มนุษย์ได้บรรจงถ่ายทอดออกมาจากห้วงของอารมณ์ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผิดหวังหรือสมหวัง จนเมื่อตัวของมนุษย์คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ดนตรีควรจะมีภาษาของตัวเอง ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่จำกัดชั้นวรรณะ ไม่แบ่งหญิงหรือชาย ( ตุ๊ด กะเทย ทอม เกย์ ) นี่แหละอาจจะเป็นการเริ่มต้นของห้วงเวลาแห่งความคิดความฝันของมนุษย์ทีต้องการจะทำ มันจึงเป็นที่มาของภาษาดนตรี ( โน๊ตสากล ) พร้อมกับเครื่องมือที่จะถ่ายทอดภาษาชนิดต่าง ๆ ( เครื่องดนตรี )
ว่ากันไปแล้ว เครื่องดนตรีก็คงจะเหมือนเครื่องเดินทางของกาลเวลา ที่สามารถนำเอาอารมณ์ความรู้สึกของตัวมนุษย์ เดินทางย้อนเวลาสู่อดีตหรืออนาคต ความคิดความฝันสำหรับในตัวมนุษย์แล้ว มันมีมากเกินพอ เมื่อภาษาของดนตรีที่มนุษย์คิดว่าถึงจุดที่สมบูรณ์ที่สุด มนุษย์ก็เริ่มตั้งกฎเกณฑ์เพื่อให้เป็นบันทัดฐานของความมีตัวตนพร้อมกับความเป็นไปได้ของดนตรี
แต่มนุษย์ก็ลืมไปว่ากฏมีไว้เพื่อเปลี่ยนแปลง ( แหก ) มนุษย์ลืมไปว่า ภาษาดนตรีเป็นภาษาสากลและเครื่องดนตรีก็เปรียบเสมือนเป็นยานพาหนะที่นำพาอารมณ์ของมนุษย์ ท่องกาลเวลา ฉะนั้นรูปแบบของการแสดงออกทางดนตรีจึงไม่หยุดอยู่กับที่ตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลง เวลาทั้งสาม เป็นดั่งดินแดนที่อารมณ์มนุษย์ท่องไปอย่างไร้จุดหมาย ทั้งอดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคต เป็นดินแดนแห่งความฝันสัมผัสด้วยอารมณ์
ห้วงเวลาของดนตรีจึงมีความสัมพันกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึกที่มนุษย์ขาดไม่ได้ เป็นองค์ประกอบที่มนุษย์ต้องนำมาเพื่อสัมพันกับความคิด เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่…….
อาลัยอาวรณ์อยู่กับอดีต?? ดิ้นรนกับปัจจุบัน?? ฝันหวานถึงอนาคต….?????? นี่แหละมนุษย์
?
????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????? ไม้เกตุ