back to top

ใต้ทะเลทรายมีน้ำจริงหรือ?

Listen to this article

เรามาเริ่มเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นนี้กันจาก คำว่า “ภาวะโลกร้อน”

ภาวะโลกร้อน ก็คือ การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นจากภาวะเรือนกระจก Green house effect สาเหตุหลักก็มาจากการเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่ว่าจะมาจากการเผาไหม้ต่าง ๆ มาจากโรงงานอุตสาหกรรม บวกกับการที่เราตัดไม้ทำลายป่า ทำให้กลไกตามธรรมชาติที่จะคอยซึมซับคอยดึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์ลงมานั้นลดลง

เวลาที่แสงอาทิตย์ส่องลงมากระทบพื้นโลกพอจะสะท้อนกลับนั้น แสงในช่วงความยาวคลื่นอินฟราเรดก็ถูกดูดกลืนโดยคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดความร้อนกักอยู่ในบรรยากาศ

แลัวมันเกี่ยวอะไรกับคำว่า Green house effect

ในต่างประเทศที่มีอุณหภูมิต่ำไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของพืช จึงได้คิดค้นวิธีเพาะปลูกโดยการควบคุมอุณหภูมิ ทำเป็นโรงเรือนกระจก เมื่อแสงอาทิตย์ส่องผ่านกระจกแต่ความร้อนที่อยู่ภายในโรงเรือนกระจกออกไปไม่ได้ ทำให้อุณหภูมิภายในเรือนกระจกสูงขึ้นเหมาะกับการเพาะปลูกพืชได้ เขาจึงเปรียบเทียบปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นนี้ว่าภาวะเรือนกระจก Green house effect นั่นเอง

แต่ที่น่าสนใจ น่าสะพรึงก็คือ เนื้อหาต่อไปนี้ !! ผมนี่รีบเปิด Google earth เลย แล้วค้น Taklimakan Desert

Taklimakan Desertศาสตราจารย์หลี่ จากสถาบันนิเวศน์วิทยาและภูมิศาสตร์แห่งซินเจียง ภาควิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองอูรุมชี จังหวัดซินเจียง ของจีน ได้ทำการศึกษาสำรวจพบว่า มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากหายไปในบริเวณทะเลทรายตากลิมากลัน แต่เป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้วที่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า มันหายไปได้อย่างไร ?

อย่างที่กล่าวในตอนแรก ว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนแต่ในขณะเดียวกันตัวมันเองก็สามารถถูกดูดซึมดูดซับไว้ได้ในบางพื้นที่ อย่าง ป่าไม้ หรือ ทะเล ซึ่งเราเรียกบริเวณเหล่านี้ว่าที่ดักคาร์บอนหรือ Carbon sink

แต่นี่คาร์บอนไดออกไซด์มาหายเอาในทะเลทราย !! ? ทรายมันดูดซับคาร์บอนได้หรืออย่างไร ?

หากดูตามแผนที่ของทะเลทรายตากลิมากันแล้ว จะเห็นว่าโดยรอบมีเทือกเขาสูงวางตัวอยู่โดยรอบ แล้วน้ำที่ไหลจากเทือกเขาเหล่านี้จะไหลไปไหน ถ้าไม่ใช่ไหลซึมลงไปอยู่ใต้ทะเลทราย

เป็นไปได้เหรอ ? ไม่งั้นมันก็เป็นทะเลสาบไปแล้วสิ จะเป็นทะเลทรายอยู่อย่างนี้ ได้อย่างไรกัน

ถ้างั้นเอาแบบนี้ เนื่องจากคาร์บอนไดออกไซด์มันหายไปบริเวณนี้มากที่สุด บวกกับชาวบ้านแถบนี้เขาก็ผันน้ำจากบริเวณนี้ไปใช้ในการทำเกษตรมานานหลายพันปีแล้ว มันน่าจะมีน้ำอยู่คอยดักคาร์บอนใต้ทะเลทรายนี่แหละ !

เจาะสิครับ เจาะดูข้างใต้ทะเลทรายเลย …..

และแล้วทีมงานสำรวจก็ทำการเจาะหาน้ำ สุ่มเจาะดูก่อน และแล้วจากการเจาะลึกลงไปหลายพันเมตรก็เจอน้ำ ! แต่เป็นน้ำเกลือ ที่นี้ก็กระจายหลุมเจาะไปให้ทั่วทะเลทรายว่าจะเจอน้ำไหม และถ้าเจอก็นำตัวอย่างน้ำขึ้นมาวิเคราะห์

ปรากฏว่า เจอน้ำ ! อยู่ใต้ทั่วทะเลทราย แล้วสรุปทะเลทรายมันจะเป็นที่แห้งแล้งไม่มีน้ำ หรือมีน้ำกันแน่ ?

แต่น้ำที่ขุดเจาะขึ้นมาวิเคราะห์นั้นนอกจากจะเค็มมากแล้ว ยังพบว่ามีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ละลายอยู่ในปริมาณมากด้วย ไม่ต่างอะไรกับน้ำอัดลมดี ๆ นี่เอง
การที่คาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากถูกดูดซึมลงไปในบริเวณนี้แสดงว่าต้องมีปริมาณน้ำไม่ใช่น้อย จากการสำรวจ ประเมินว่าน้ำบริเวณนี้อาจมากกว่าน้ำในทะเลสาบทั้งห้าแห่งในอเมริกาเหนือรวมกันถึง 10 เท่า
(ได้แก่ ทะเลสาบซุพีเรียร์ ทะเลสาบมิชิแกน ทะเลสาบฮิวรอน ทะเลสาบเอรี ทะเลสาบออนตาริโอ)

และถ้าหากเราอยากได้น้ำขุดเปิดแหล่งน้ำนี้ขึ้นมาใช้เลยจะดีไหม มันจะได้ไม่แห้งแล้งเป็นทะเลทราย

อ้าว ! งานงอกสิครับ

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายอยู่ในน้ำใต้ทะเลทรายแห่งนี้ก็จะรั่วออกไปสู่ชั้นบรรยากาศ เขาดักคาร์บอนอยู่ดีๆ ไปปล่อยคาร์บอน เร่งให้โลกมันร้อนเร็วขึ้นซะงั้น

เราจะเห็นได้ว่า ภาวะโลกร้อน ไม่ได้แก้ได้ด้วยการเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่อยู่ที่ความเข้าใจและความรับผิดชอบต่อโลกที่เราอยู่ร่วมกัน

ref :
https://www.il.mahidol.ac.th/e-media/ecology/chapter2/chapter2_airpollution13.htm
https://www.dol.go.th/sms/interesting.htm

Herothailand.com รับสั่งหนังสือต่างประเทศ สินค้าต่างประเทศ
พร้อมรับประกันการจัดส่งถึงบ้าน
ไม่ได้รับสินค้า ยินดีคืนเงินเต็ม 100%
Tel : 08-5464-1644