ทุก ๆ ซัมเมอร์ หลายสัปดาห์หลังจากการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยประจำปี นักเรียนมัธยมปลายหลายคนต่างก็รอคอยการประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสอบคัดเลือกฯ
หลายปีมานี้ ผู้ที่ผ่านการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของจีนกลายเป็นที่สนใจของสาธารณชน เมื่อมีการรายงานผลการสอบของผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุดจากแต่ละจังหวัด และอีกหลายปีเช่นกันที่รายชื่อของนักเรียนที่ติด 100 คนแรกและ 200 คนแรก พวกเขาส่วนมากเลือกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศ ไม่มหาวิทยาลัยปักกิ่งก็มหาวิทยาลัยจิงหัว เป็นอย่างนี้เรื่อยมา
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน บางสิ่งได้เปลี่ยนไป มหาวิทยาลัยต่างประเทศที่มีชื่อเสียงได้เข้ามาเป็นทางเลือกนอกจากมหาวิทยาลัยสองแห่งของจีนข้างต้น เป็นแนวโน้มที่ทั้งผู้เชี่ยวชาญการศึกษาของจีนและสาธารณชนโดยทั่วไปต่างกังวลถึงการแข่งขันในการเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยในจีน
ในขณะที่ชาวจีน จำนวน เก้าล้านสามแสนคนเข้าสอบเอ็นทรานซ์ในปี 2011 ใกล้เคียงกันกับตัวเลข หนึ่งล้านคนของผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายที่ไม่ได้สอบเอ็นทรานซ์ ในบรรดาพวกเขาเหล่านี้ ราวสองแสนคนเลือกที่จะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ
ณ วันนี้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายกว่าหนึ่งแสนคนได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในสหร้ฐฯ ในแต่ละปี และโดยเฉพาะปีนี้ นักเรียนอย่างน้อย 17 คนที่ติดในรายชื่อ 100 คนแรกเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ University of Hong Kong
การเลือกไปเรียนต่อต่างประเทศของนักเรียนหัวดีจำนวนมากเหล่านี้ได้เป็นที่ถกเถียงกันขึ้นมาอีกครั้งในสืื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นของการปฏิรูปการศึกษาระดับอุมศึกษา และจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าเกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้นจริง ๆ ความคิดเห็นของสาธารณชนที่มีต่อมหาวิทยาลัยของจีนได้กลายเป็นความสงสัยมากขึ้นทุกทีหรือไม่ก็เป็นไปในทางลบอย่างชัดเจน
จากการเปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่า เมื่อปีที่ผ่านมามหาวิทยาลัยหลายแห่งของจีนได้รับเงินกู้รวมกันมากมาย เป็นเงินสูงถึง 40.69 พันล้านเหรียญฯ แต่ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานี้
แม้ว่าได้มีกระจายเงินกู้ในการขยายสถานศึกษาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการในการเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ก็มีข่าวที่แพร่สะพัดในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว เป็นการจุดชนวนให้เกิดคำถามมากมายและเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
Xiong Bingqi รองประธานสถาบันวิจัยการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 กล่าวว่า “หากไม่เกิดการปฏิรูปการศึกษา ก็จะไม่มีการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาเกิดขึ้น เพราะว่าทุกมหาวิทยาลัยล้วนเป็นสถาบันเดียวกันที่มีความสำคัญและอยู่ภายใต้แนวทางเดียวกัน ”
องค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐแห่งนี้เน้นไปที่การปฏิรูปการศึกษาของจีน
“เรากำลังหาทางที่จะให้เด็กนักเรียนได้แสดงออกเรื่องนี้ด้วยตัวของเขาเอง และรัฐบาลจะรู้สึกถูกกดดันในที่สุด”
รัฐบาลกรุงปักกิ่งรู้ดีว่าต้องทำอะไรบางอย่าง ดังนั้นในแผน 10 ปี สำหรับการปฏิรูปการศึกษา ที่ร่างโดยสภาแห่งรัฐที่ออกเมื่อเดือนกรกฏาคม จึงมีนโยบายเชิง “การขยายมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ให้อำนาจในการบริหาร” บรรจุไว้ แม้ว่าออกจะคลุมเครือ ท่ามกลางนโยบายกว่า 70 ข้อที่ได้บรรจุอยู่ในแผนนี้
Xiong ย้ำว่า “ถ้าหากให้บรรลุผล แต่ละนโยบายต้องเริ่มต้นที่การให้อิสระกับมหาวิทยาลัยให้อยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาล ความจริงก็คือว่า ไม่มีใครที่มาพร้อมกับแผนดำเนินการที่ตระหนักถึงเป้าหมายแต่ละอย่าง และไม่มีแผนแม่บท รัฐบาลท้องถิ่นก็ไม่ได้ให้อำนาจในการดำเนินงาน”
อ้างอิงข้อมูลจาก : Time.com