ร้านหนังสือออนไลน์-Herothailand.com
Leonard Riggio ประธานบริษัท Barnes & Noble เริ่มต้นเส้นทางอาชีพขายหนังสือของเขาในขณะที่เป็นนักศึกษาที่ New York University ในช่วงต้นทศวรรษที่ 60
เขาทำงานเป็นลูกจ้างในร้านหนังสือของมหาวิทยาลัย เขาเชื่อว่าตัวเองสามารถทำงานบริการให้นักศึกษาที่ดีกว่านี้ได้ ดังนั้นเขาจึงเปิดร้านหนังสือของเขาเองขึ้นมา ด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อย Riggio ได้ก่อตั้ง Student Book Exchange (SBX) ขึ้นที่ Greenwich Village ใน Manhattan ในปี 1965 ร้านของเขาได้กลายเป็นหนึ่งในร้านหนังสือที่ดีที่สุดของ New York อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเพราะการมีพนักงานที่มีความรู้ มีหนังสือให้เลือกมากมายและด้วยบริการที่ยอดเยี่ยม
ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 70 ธุรกิจของ Riggio เจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยได้เปิดร้านหนังสือในวิทยาลัยอีก 6 ร้าน เขาได้ใช้ชื่อทางการค้าเป็นครั้งแรกว่า Barnes & Noble และเปิดร้านแห่งแรกใน Manhattan ซึ่งต่อมาได้เลิกกิจการร้านไป
ในไม่กี่ปีต่อมา Riggio ได้เปลี่ยนรูปแบบร้านบนถนน Fifth Avenue ให้เป็น “ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก” โดยมีหนังสือเรียนและหนังสืออื่น ๆ รวมกันกว่า 150,000 รายการ
ความรับผิดชอบของ Riggio ต่อนักศึกษายังมีอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ โดยมี Barnes & Noble College Booksellers ซึ่งเป็นส่วนที่ Barnes & Noble ได้ให้การสนับสนุนด้วยตัวเองทั้งหมดในการบริหารจัดการร้านหนังสือในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยรวมแล้วกว่า 600 แห่งทั่วสหรัฐฯ ให้บริการนักศึกษาได้ราว 4 ล้านคน มากกว่า 250,000 ภาควิชา
นวัตกรรม
ตลอดช่วงทศวรรษที่ 70 ถึง 80 บริษัทได้ขยายสาขาอีกหลายแห่ง ในปี 1974 Barnes & Noble เป็นร้านหนังสือแห่งแรกในอเมริกาที่ได้โฆษณาทางโทรทัศน์ โฆษณาชิ้นดังกล่าวยังได้รับรางวัลอีกด้วย
ในปี 1975 Barnes & Noble ได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเป็นร้านหนังสือแห่งแรกของอเมริกาที่ลดราคาหนังสือ โดยลดราคาหนังสือที่เป็น New York Times Bestseller ถึง 40% ของราคาปกและ Barnes & Noble ยังขยายความคิดนี้ออกไปด้วยการเปิดพื้นที่กว่า 40,000 ตารางฟุตตรงข้ามกับร้านสาขาแรกขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
Barnes & Noble เริ่มขยายตลาด New York และ Boston โดยการเปิดร้านหนังสือลดราคาร้านเล็ก ๆ นอกจากนี้ยังได้ซื้อกิจการร้านหนังสือท้องถิ่นคือ BookMasters และ Marboro Books แล้วเปลี่ยนไปเป็นร้านขายหนังสือลดราคาของ Barnes & Noble
ในช่วงเริ่มแรก ร้านหนังสือเหล่านี้ประสบความสำเร็จอย่างมากและขยายจำนวนร้านออกไปมากถึง 50 แห่ง แต่ในที่สุดก็ค่อย ๆ หายไปจนหมดเนื่องจาก Barnes & Noble ต้องการทำร้านหนังสือขนาดใหญ่มากกว่า
การซื้อกิจการร้านหนังสือ Marboro Books ทำให้ Barnes & Noble มีฐานที่มั่นสำหรับขายหนังสือโดยจัดส่งผ่านไปรษณีย์ให้เติบโตขึ้น สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศ บริการนี้เป็นเหมือนห้องทดลองที่ได้เผยให้เห็นถึงความต้องการที่แฝงอยู่ เป็นสิ่งกระตุ้นให้ Barnes & Noble เริ่มทำสำนักพิมพ์ของตนสำหรับพิมพ์หนังสือของตนให้กับกลุ่มลูกค้าดังกล่าว รายการหนังสือดังกล่าวนี้ ในตอนแรกเป็นหนังสือที่ไม่ตีพิมพ์แล้วและถูกนำมาพิมพ์ใหม่ด้วยกระดาษคุณภาพดีให้สามารถหาซื้อกันได้อีก
การขยายตัว
ตลอดช่วงทศวรรษที่ 80 Barnes & Noble ได้ทดลองเปิดร้านหนังสือในขนาดต่าง ๆ กัน เพื่อที่จะหาช่องทางในการพัฒนาร้านหนังสือขนาดใหญ่แถบชานเมืองจากร้านหนังสือเดิมของตนเอง
ในปี 1987 Barnes & Noble ได้ซื้อกิจการครั้งใหญ่ที่สุดเมื่อเข้าซื้อกิจการร้านหนังสือ B. Daton จาก Dayton Hudson ซึ่งเป็นการซื้อกิจการร้านหนังสือรวมกันถึง 797 สาขา ทำให้กลายเป็นบริษัทระดับชาติอย่างแท้จริงภายในชั่วข้ามคืนและกลายเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอเมริกา นอกจากนี้ Barnes & Noble ยังได้ซื้อกิจการร้านหนังสือของ Doubleday Book Shops จากบริษัท Bertelsmann และยังได้รับลิขสิทธิ์อนุญาตให้ใช้ชื่อร้าน Scriber’s bookstore จาก Macmillan อีกด้วย
สำหรับยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับการทำร้านหนังสือขนาดใหญ่นั้น ในปี 1989 Barnes & Noble ได้ซื้อกิจการ BookStop ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดการเกี่ยวกับร้านหนังสือลดราคาขนาดใหญ่ใน Texas การซื้อกิจการครั้งนี้มีส่วนทำให้ Barnes & Noble ประสบความสำเร็จในยุทธศาสตร์ร้านหนังสือขนาดใหญ่ ตั้งแต่ทำเลร้านหนังสือไปจนถึงการจัดการเรื่องการตลาดและสินค้า
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 Barnes & Noble ได้ปรับกรอบความคิดร้านหนังสือขนาดใหญ่ของตนและก่อตั้งร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่ทันสมัยขึ้น ซึ่งเราสามารถพบเห็นร้านหนังสือที่ว่ากว่า 96% ของสาขาในทุกวันนี้
Barnes & Noble จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน ในปี 1993