ข้อมูลชิ้นนี้อ้างอิงรายละเอียดจากเว็บไซต์ TIME.com
ไม่เคยมีการขาดแคลนหนังสือเล่มใหม่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ แม้รายชื่อหนังสือส่วนใหญ่ถูกลืมไปบ้างแล้ว แต่มีรายชื่อหนังสือ 25 เล่มที่ได้เปลี่ยนแนวความคิดของเราเกี่ยวกับการจัดการ ตั้งแต่หนังสืือดังอย่าง “How to Win Friends and Influence People” ไล่ไปจนถึงหนังสือที่มีเนื้อหาแปลกใหม่อย่าง “Guerilla Marketing” และหนังสือแบบอ่านรวดเดียวจบอย่าง “The One Minute Manager”
เรามาดูกันว่า หนังสือ 25 เล่มที่พูดถึง มีอะไรกันบ้าง
อันดับ 1
The Age of Unreason (1989), by Charles Handy
หนังสือของ Charles Handy เล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 1989 นำเสนอการคิดนอกกรอบธุรกิจแบบเดิม ซึ่งต่อมาเขาได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์พิเศษย์ที่ London Business School
เขาได้อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เห็นได้ชัดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันและในสถานที่ทำงาน เทคโนโลยีใหม่ ๆ และการลดลงของพนักงานที่ทำงานเต็มเวลา ท่ามกลางการเปลี่ยนรูปแบบของสิ่งต่าง ๆ ทำให้จำเป็นต้องละทิ้งกฏเดิม ๆ และหันไปทดลองการทำงานรูปแบบใหม่กับคนอื่น
หนังสือเล่มนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงภายในระยะเวลาไม่กี่ทศวรรษหลังจากตีพิมพ์ เมื่อมีการเกิดขึ้นของอินเตอร์เน็ต การสื่อสารที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีการจ้างงานเอาท์ซอร์ซเพิ่มขึ้นและการแพร่หลายของสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์วิสัยทัศน์ของเขาในการมองเห็นอนาคตได้อย่างน่าประหลาดใจ The Age of Unreason
อันดับ 2
Built to Last: Successful Habits of Visionary Companies (1994), by Jim Collins and Jerry Porras
นี่เป็นการสำรวจจุดเด่นของ 18 ประการของบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ พยายามที่จะเข้าใจว่าอะไรกันที่เป็นสิ่งทำให้บริษัทอย่าง Disney , 3M , Sony , Merck, Wal-Mart, Hewlett-Packard ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
Jerry Porras ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและ Jim Collins ผู้เขียน Good to Great ค้นพบว่ามันตรงกันข้ามกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากบริษัทที่ทำให้คู่แข่งประหลาดใจอย่างมากเหล่านี้ ไม่ได้มีผู้นำองค์กรที่น่าสนใจหรือมีจุดเน้นที่แข็งแกร่งมากมายอะไร แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันกลับเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการจ้างคนเก่งและปล่อยให้เขาสร้างความสำเร็จ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากแต่สำหรับช่วงปลายทศวรรษที่ 90 หนังสือเล่มนี้ทำให้คนต้องประหลาดใจ
นี่ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับความมีเสน่ห์ของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ไม่ได้เกี่ยวกับกรอบความคิดของผลิตภัณฑ์ที่เพ้อฝันหรือผลิตภัณฑ์ที่เพ้อฝันหรือความเข้าใจอันลึกซึ้งในตลาดแห่งอนาคต แต่หนังสือเล่มนี้พูดถึงวิสัยทัศน์ขององค์กร
กว่าหกปีของการวิจัย ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด Collins และ Porras ได้พบกลุ่มบริษัทที่มีอายุยาวนาน ซึ่งโดยเฉลี่ยเกือบ ๆ 100 ปีพร้อมกับความโดดเด่นอย่างแท้จริง 18 ประการ โดยบริษัทเหล่านี้ยังสามารถรักษามูลค่าหุ้นของตนให้อยู่ในเกณฑ์ดีมาตั้งแต่ปี 1926
นอกจากนี้ในการศึกษาแต่ละบริษัทได้ทำการเปรียบเทียบโดยตรงกับบริษัทคู่แข่งหมายเลขหนึ่งของบริษัทนั้น ๆ พวกเขาได้พิจารณาตรวจสอบกลุ่มบริษัทดังกล่าวตั้งแต่วันแรกที่เริ่มกิจการจนถึงปัจจุบัน คือนับตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้วขยับมาเป็นบริษัทขนาดกลางจนกลายมาเป็นบริษัทขนาดใหญ่
ตลอดทั้งเล่ม ผู้เขียนจะตั้งคำถามว่า “อะไรที่ทำให้บริษัทที่มีความโดดเด่นอย่างแท้จริงเหล่านี้แตกต่างจากบริษัทอื่น?
Motorola สามารถขยับจากธุรกิจรับซ่อมแบตเตอรี่ทั่ว ๆ ไป เข้ามาสู่การผลิตวงจรรวมและการสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือได้อย่างไร ?
บริษัท Boeing เบียด McDonnell Douglas ขึ้นมาเป็นบริษัทผู้ผลิตอากาศยานอันดับหนึ่งของโลกได้อย่างไร อะไรที่ Boeing มีและอะไรที่ McDonnell Douglas ขาดไป ?
Built to Last: Successful Habits of Visionary Companies
อันดับ 3
Competing for the Future (1996), by Gary Hamel and C.K. Prahalad
หนังสือของพวกเขาแสดงให้เห็นว่า การวางแผนยุทธศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงแค่ช่วงเวลาหยุดพักจากธุรกิจตามปกติของบริษัทเท่านั้น ซึ่งมันต้องมาจากความรู้สึก มีความหมาย และมีจุดประสงค์เป็นตัวผลักดัน ไม่ใช่แค่เพียงการวิเคราะห์ และสิ่งนี้เป็นเหมือนแรงกระตุ้นที่ต้องถูกปลูกฝังตลอดทั่วทั้งองค์กร ไม่ใช่เป็นเรื่องของนักยุทธศาสตร์หรือที่ปรึกษาเท่านั้น
หัวใจสำคัญก็คือว่า ผู้บริหารต้องการให้มีการปลูกฝังสิ่งที่เรียกว่า “ความสามารถหลักขององค์กร” ให้แก่พนักงานและไม่เพียงแค่เพื่อการรปรับตัวเท่านั้น แต่ยังหมายถึงเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม
การชนะในธุรกิจทุกวันนี้ ไม่ใช่การเป็นเบอร์หนึ่ง แต่มันเกี่ยวกับการเป็นใคร “ที่เข้าถึงอนาคตได้ก่อน” หนังสือเล่มนี้แต่งโดย Gary Hamel and C.K. Prahalad ที่ปรึกษาการบริหารจัดการ พวกเขาได้กระตุ้นให้บริษัทสร้างอนาคตของตัวเอง มีวิสัยทัศน์ในตลาดใหม่และนำเสนอตัวเองในรูปแบบใหม่
Hamel และ Prahalad ได้เตือนว่า ผู้จัดการหลายคนที่พึงพอใจยึดติดกับความสบายในการทำอะไรตามวิธีหรือรูปแบบเดิม ๆ ในที่สุดจะทิ้งบริษัทของพวกเขาไว้เบื้องหลัง
ตัวอย่างเช่น การต่อสู้ระหว่าง IBM และ Apple ในทศวรรษที่ 1970 เนื่องจาก IBM ขุดคูป้องกันตัวเองอยู่กับความสำเร็จเดิมจากการเป็นผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ ทำให้ล้มเหลวจากการมองไม่เห็นศักยภาพของตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ปล่อยประตูให้เปิดกว้างสำหรับ Apple ที่มองเห็นความสำคัญของการมีคอมพิวเตอร์สักเครื่องหนึ่งไว้สำหรับผู้ชาย ผู้หญฺิงและเด็ก แล้วดำเนินการไปตามเส้นทางของโอกาสอันยิ่งใหญ่นั้น
พวกเขาพูดกันถึงเรื่องว่าผู้นำธุรกิจต้องเป็นมากกว่า “วิศวกรบำรุงรักษา” ที่คอยกังวลแต่เรื่องการตัดงบประมาณ ปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับปรุงองค์กร และใช้ลูกไม้เก่า ๆ “ผู้จัดการที่ต้องการทำให้บริษัทของตนอยู่แถวหน้าต้องพร้อมสำหรับการแข่งขันในอนาคต”
Competing for the Future