AMAZON เป็นบริษัทที่ค่อนข้างแปลก เมื่อพิจารณาจากมุมมองทางด้านการเงิน ซึ่งดูเหมือนว่าไม่น่าจะเป็นหนึ่งบริษัทที่ประสบความสำเร็จในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากไม่เคยมีข่าวว่า Amazon เสนอซื้อคืนหุ้นของตัวเองตั้งแต่เลยนับตั้งแต่ปี 2012 หุ้นของ Amazon ไม่เคยมีปันผล ต่างจากบริษัทอื่นที่ไล่ ๆ กันอย่าง Apple Google หรือ Facebook
Amazon เป็นบริษัทที่จะไม่ถือเงินสด !
เพิ่งไม่นานนี้เองที่ Amazon เพิ่งรับรู้ผลกำไรเป็นบวก หลังจากขาดทุนมาหลายปี
ดังนั้นเมื่อมีเงินเย็นนอนนิ่งอยู่ บริษัทไม่รอช้าที่จะรีบใช้เงินจำนวนดังกล่าวไปเพื่อลงทุนสร้างหรือขยายขีดความสามารถของตนทันที ตัวอย่างเช่น เมื่อ Amazon มีสภาพคล่องเหลืออยู่ 13.8 พันล้านเหรียญฯ ก็รีบใช้เงินดังกล่าวเข้าซื้อกิจการเชนซูเปอร์มาเก็ต Whole Foods เป็นเงิน 13.7 พันล้านเหรียญฯ
Amazon เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นมาเป็นเวลา 18 ปี กว่าจะมีมูลค่าบริษัท ( Market cap ) เท่ากับ Walmart แต่หลังจากนั้นก็ใช้เวลาอีกเพียงสองปีกว่า ๆ ทำให้มูลค่าบริษัทเพิ่มเป็นสองเท่า !!
ในปี 2017 ก่อนหน้าที่ Whole Foods จะขายกิจการให้กับ Amazon พบว่ามียอดขายลดลง 1.5% ในขณะที่ปีก่อนหน้านั้นยอดขายลดลงมา 2.5%
การตกลงซื้อขายกิจการระหว่างสองบริษัทนี้ ซึ่งเรียกว่าโปรเจ็กต์อเธนานั้น ถูกปิดเป็นความลับมาโดยตลอด หลังจากที่ จอห์น แมคคีย์ ซีอีโอของ Whole Foods ได้พบกับ เจฟ เบโซส์ ซีอีโอของ Amazon ผ่านทางที่ปรึกษาอุตสาหกรรมนั้น ทาง Amazon ได้แจ้งกับทาง Whole Foods ว่า ถ้าหากว่าข่าวการซื้อกิจการนี้แพร่งพรายออกไปเมื่อใด ข้อตกลงนี้จะเป็นอันยกเลิกทันที !
ซุปเปอร์มาเก็ตของ Whole Foods ได้กลายเป็นพื้นที่ของ Amazon ที่นอกเหนือจากโลกออนไลน์ซึ่งกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ในตอนนี้ได้ตระหนักแล้วว่า การมีหน้าร้านตามปกตินั้นจำเป็นต่อการลดต้นทุนในการคืนสินค้า การจัดส่งรวมถึงการตลาด ซึ่งไม่ใช่มีเพียง Amazon เพียงรายเดียวที่อยากได้ส่วนนี้มาเติมเต็ม
ประกอบกับ Amazon เริ่มขายอุปกรณ์อย่าง Echoในร้านรวมถึงเปิดให้บริการพื้นที่เก็บของที่เป็นตู้ล็อคเกอร์สำหรับจัดส่งสินค้าของ Amazon ให้กับลูกค้าไว้ในบริเวณร้าน Whole Foods บางสาขาด้วย นอกจากนี้บางสาขาของ Whole Foods ยังมีส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิก Amazon Prime อีกด้วย ซึ่งในที่สุดส่วนลดดังกล่าวก็จะสามารถใช้ได้กับทุกสาขาทั่วประเทศ แล้วยังมีท่าไม้ตายจาก Whole Foods มาอีกก็คือ จัดส่งฟรีสำหรับ ลูกค้าที่เป็นสมาชิก Amazon Prime !!!
ทำไม Amazon ถึงซื้อกิจการ Whole Foods ประการแรก เพราะทำให้ Amazon สามารถเข้าถึงข้อมูลการซื้อสินค้าได้เป็นอย่างมาก ซึ่งตรงนี้เองที่จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์เมื่อ Amazon ขยายขอบเขตธุรกิจของตนเข้าสู่ซูเปอร์มาเก็ตออนไลน์พร้อมทั้งยังสามารถนำเสนอสินค้าที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลได้ด้วย ไม่ต้องเสียเวลามานั่งนับหนึ่งลองผิดลองถูก
เมื่อ Amazon เชื่อมส่วนของ Amazon Prime เข้ากับประสบการณ์การสั่งซื้อสินค้าจาก Whole Foods แล้ว ก็จะยิ่งทำให้เข้าถึงความต้องการของลูกค้าเป็นรายบุคคลได้มากขึ้นเพราะมีข้อมูลทั้งการซื้อของออนไลน์และออฟไลน์ของบุคคลนั้นอยู่ในมือ ตรงนี้สำคัญอย่างไร ตรงนี้ก็จะเป็นจุดแข็งของ Amazon ที่จะนำเสนอโฆษณาและโปรโมชั่นใหม่ ๆ ที่ตรงใจผู้ซื้อได้ดีกว่า เร็วกว่าร้านขายของชำอื่นๆ และด้วยเหตุผลที่ว่าคนซื้อของมักจะเลือกดูรายการสินค้าในกลุ่มของชำจากออนไลน์แล้วมาซื้อสินค้าจริงที่ร้านด้วยตนเอง ดังนั้นเมื่อมีข้อมูลความต้องการของลูกค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์อยู่ในมือ นั่นคืออาวุธที่ทรงอานุภาพมากที่สุดแล้วเม็ดเงินก็จะตามมาเอง
ในความเป็นจริง การคิดว่า Amazon เป็นเพียงผู้เล่นรายหนึ่งในตลาดนั้น เป็นความคิดที่ผิด
ร้านค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ไม่ได้ใช้การตั้งราคาขายปลีกตามที่ควรจะเป็น แต่ตั้งราคาตามใจตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น คนเขียนหนังสือได้รับส่วนแบ่งการขายหนังสือต่อเล่มใน Amazon ต่ำกว่าที่อื่น เนื่องจาก Amazon มีอำนาจในการบีบให้สำนักพิมพ์ขายหนังสือให้ตนในราคาต่ำกว่าที่อื่น ซึ่งก็จะผลักภาระสัดส่วนกำไรอันน้อยนิดไปให้นักเขียน แต่สำหรับผู้บริโภคแล้วมันเป็นเรื่องที่ดี และไม่ได้มีเพียงแค่หนังสือที่ Amazon ขายถูกกว่าที่อื่น Amazon ยังมีสินค้าคงคลังที่สามารถจัดส่งไปยังลูกค้าที่เป็นสมาชิกได้ภายในสองวัน ในขณะเดียวกันกับที่ร้านหนังสืออื่นต่างก็ทยอยปิดกิจการกันไปเสียส่วนใหญ่
หลังจากที่ซื้อกิจการ Whole Foods แล้ว ดูเหมือน Amazon มีแนวโน้มที่จะใช้กลยุทธ์เดียวกันนี้กับการบริหารซูเปอร์มาเก็ต ตามข่าวที่บอกว่า Amazon จะเริ่มนำเสนอจัดส่งฟรีภายในสองชั่วโมงสำหรับลูกค้าสมาชิก นั่นหมายความว่า Amazon กำลังจะนำกำไรทุกบาททุกสตางค์ออกไปจากอุตสาหกรรมซูเปอร์มาเก็ตนี้เช่นกัน
ทั้ง ๆ ที่รูปแบบธุรกิจดังกล่าวมีรากฐานในการกำจัดคู่แข่ง แต่ Amazon ก็เบนความสนใจจากหน่วยงานกำกับควบคุมการผูกขาดทางการค้าได้ เนื่องจากการตั้งราคาสินค้าไว้ถูก ซึ่งถ้าหากผู้บริโภคได้ประโยชน์ แล้วไง ใครแคร์ ต่อให้มันเป็นการผูกขาดก็ตามที….