ร้านหนังสือออนไลน์-Herothailand.com
ในภาพยนต์เรื่อง “You’ve Got Mail” Tom Hanks แสดงเป็น Joe Fox เจ้าของร้านหนังสือขนาดใหญ่ชื่อ Fox & son Books ที่แข่งขันไล่บี้ให้ร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่ชื่อ The Shop Around The Corner ซึ่งเจ้าของร้านแสดงโดย Meg Ryan จนต้องปิดกิจการลงในที่สุด
สำหรับ Barnes & Noble ต้องเจอกับการแข่งขันครั้งใหม่จาก e-book ที่ได้ส่งผลกระทบทำให้กำไรและจำนวนคนที่เข้าร้านหนังสือลดลง
12 ปีต่อมา อาจเป็นไปได้ว่า Joe Fox ต้องกลับมาเป็นกังวลอีกครั้ง เมื่อผู้อ่านได้ผละจากร้านหนังสือเล็ก ๆ เพื่อเจอกับความประหลาดใจว่า จริง ๆ แล้ว พวกเขาต้องการร้านหนังสือกันหรือเปล่า คนส่วนใหญ่กำลังสั่งซื้อหนังสือทางออนไลน์หรือดึงมันออกมาจากลังหนังสือขายดีในร้าน Wal-Mart
แต่การคุกคามที่น่ากลัวสำหรับธุรกิจนี้และนักอ่านบางคนก็คือการเติบโตของ e-book
ในช่วงห้าเดือนแรกของปี 2009 ยอดขาย e-book คิดเป็น 2.9% ของยอดขายตัวเล่ม และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปี 2010 ยอดขาย e-book ซึ่งโดยทั่วไปมีราคาถูกกว่าหนังสือปกแข็งนั้น เติบโตเป็น 8.5% ของยอดขายตัวเล่ม ตามรายงานจากสมาคมสำนักพิมพ์อเมริกัน โดยได้รับอานิสงฆ์มาจากยอดขายของ Amazon Kindle และ Apple iPad
สำหรับ Barnes & Noble ซึ่งเป็นร้านหนังสือที่ครองความยิ่งใหญ่มานานในอเมริกา การแข่งขันครั้งใหม่นี้ได้นำไปสู่ผลกำไรและจำนวนคนเข้าร้านที่เริ่มลดลง หลังจากที่ทางบริษัทได้ประกาศขายกิจการเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ทาง Leonard Riggio ประธานกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Barnes & Noble ผู้ที่ได้ประกาศความเชื่อมั่นของเขาในอนาคตของบริษัท ได้กล่าวเป็นนัยว่า เขาอาจจะซื้อบริษัทนี้ด้วยตัวเขาเองและเอามันออกจากตลาดหุ้น
สำหรับผู้อ่านแล้ว e-book ไม่เพียงแต่หมายความถึงการเปลี่ยนรูปแบบของประสบการณ์ในการอ่านเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนรูปแบบการซื้อหนังสือจากเดิมที่เป็นการเดินทอดน่องไปตามชั้นหนังสือ อ่านดูปกและหากชอบใจก็หยิบเล่มนั้นออกมา
สำนักพิมพ์หลายแห่งต้องแปลกใจที่เห็นความนิยมในตัว e-book เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายหนังสือตัวเล่มที่พวกเขาเป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่ ถ้าหากจำนวนร้านหนังสือลดลง บรรดาสำนักพิมพ์เกรงว่ายอดขายก็จะลดลงตามไปด้ว ย บ้างก็กังวลว่าร้านหนังสือขนาดใหญ่จะเป็นเหมือนกับร้านขายเทปและซีดีเพลงที่ต้องปิดตัวลงเมื่อธุรกิจเพลงเข้าสู่รูปแบบดิจิตอล
Laurence J. Kirshbaum ตัวแทนนักเขียน กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงจากหนังสือตัวเล่มไปเป็นหนังสือดิจิตอลนั้น สามารถทำให้ระบบเศรษฐกิจบางส่วนชะลอตัวได้ แต่ไม่สามารถช่วยเยียวยาความสูญเสียที่เกิดขึ้น เราต้องการให้คนไปที่ร้านและมองหาหนังสือสักเล่มที่พวกเขาไม่รู้ว่ามันมีอยู่และซื้อมันมาอ่าน”
ทางด้าน Carolyn Reidy ซีอีโอของ Simon & Schuster กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า “ในปัจจุบัน e-book ทำรายได้ให้กับบริษัทหนังสือราว 8% ของรายได้ทั้งหมด” เธอทำนายว่า ยอดขาย e-book จะสูงขึ้นถึง 40% ภายในสามถึงห้าปีต่อจากนี้
ส่วน Mike Shatzkin ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Idea Logical Company ซึ่งให้คำปรึกษาแก่สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงดิจิตอลนี้ กล่าวว่า “e-book เคลื่อนไปข้างหน้าเร็วขึ้นทุกทีตลอดเวลาซึ่งทำให้หลายสิ่งดูไม่เข้าข้างร้านหนังสือตามสถานที่ต่าง ๆ ”
Iris Reeves รองผู้จัดการของ East Texas วัย 53 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ไปร้านหนังสือ เกือบทุกสุดสัปดาห์ เธอและสามีจะขับรถเป็นระยะทางราว 60 ไมล์ ไปยังร้านหนังสือ Barnes & Noble ที่ใกล้ที่สุด เพื่อใช้ช่วงเวลาอันยาวนานในการเลือกซื้อหนังสือ เธอซื้อหนังสือปกอ่อนหลายเล่ม (เรื่องสยองขวัญ,นวนิยายวิทยาศาสตร์, นวนิยายแนวเหนือจริง ) ส่วนสามีจะซื้อหนังสือพวกวรรณกรรมทั่วไปและนิตยสารเกี่ยวกับยานยนต์สองสามฉบับ
เธอเห็นสัญญาณเตือนจากร้านหนังสือราวหนึ่งโหล ทั้งที่เป็นร้านหนังสืออิสระและร้านหนังสือที่มีสาขาอย่างเช่น Crown Books ค่อย ๆ หายไป นอกจาก Barnes & Noble และ Borders แล้ว มีเพียงร้านหนังสืออื่น ๆ แถบใกล้เคียงเท่านั้นที่ขายหนังสือใหม่ซึ่งทั้งหมดเป็นร้านหนังสือเกี่ยวกับศาสนา
Reeves บอกว่า ” ฉันไม่ต้องการเสียทางเลือกของการเข้าไปในร้านหนังสือและหยิบจับหนังสือสักเล่มจริง ๆ ฉันชอบที่จะเดินไปมาในทางเดินระหว่างชั้นหนังสือ ดูว่ามีอะไรตรงนั้น ถ้าหากฉันมีสิทธิเลือก ต้องเป็นหนังสือกระดาษทั้งหมด !!
ใครก็ตามที่มาลงเอยในร้านสาขาของ Barnes & Noble จำนวน 720 สาขาเหล่านี้ จะต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในอุตสาหกรรมและถ้าหากการเปลี่ยนแปลงไปสู่ e-book เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ จะเป็นเครืื่องพิสูจน์ว่า Barnes & Noble สามารถประสบความสำเร็จในฝั่งของการขายหนังสือดิจิตอลได้เช่นเดียวกับที่เคยประสบความสำเร็จในแบบของตัวเล่มหรือไม่
William Lynch ซีอีโอของ Barnes & Noble กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า “ร้านสาขาต่าง ๆ ได้ถูกดัดแปลงใหม่ให้สามารถดึงดูดคนเข้าร้านได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสินค้าอย่างเช่นเกมส์และของเล่นที่เสริมสร้างทักษะความรู้ และเน้นการทำตลาดเครื่องอ่าน e-book ของเรา ซึ่งก็คือ Nook.
Lynch บอกว่า ” เราคิดว่าเรามียุทธศาสตร์ที่มาถูกทาง การเติบโตในส่วนของ e-book ของเรานั้นรุดหน้ากว่าแผนที่ตั้งไว้ไปถึง 9 เดือน”
มันเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในเรื่องความไม่แน่นอนสำหรับบริษัท ในยุค 90 ที่เป็นยุครุ่งเรืองของร้านหนังสือขนาดใหญ่นั้น Barnes & Noble เคยครองความยิ่งใหญ่ มีการกระจายตัวเข้าถึงลูกค้าอย่างรวดเร็วและน่าอัศจรรย์ใจด้วยการที่มีหนังสือให้เลือกมากมายหลากหลายแขนงพร้อมทั้งส่วนลดอย่างมากมายแบบที่ร้านหนังสือที่เล็กกว่าหรือร้านหนังสืออิสระไม่สามารถสู้ได้เลย ทำให้ Riggio ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลสูงสุดในธุรกิจหนังสือ
David Steinberger ซีอีโอของ Perseus Book Group กล่าวว่า “เมื่อตอนที่ Barnes & Noble เติบโตนั้น มีหลายสิ่งที่ดีมาก ๆ สำหรับสำนักพิมพ์ต่าง ๆ และนักเขียน พวกเขามีพลัง มีความมั่นใจสูง พวกเขาจัดงานร่วมกับนักเขียนได้อย่างยอดเยี่ยมและพวกเขายังมีหนังสือให้เลือกมากมาย”
แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ Barnes & Noble ต้องแข่งขันกับ Amazon.com ซึ่งเป็นผู้นำตลาด e-book และมีหนังสือตัวเล่มให้เลือกมากมายบนโลกออนไลน์ การมาของ iPad ในเดือนเมษายนเป็นเพียงการเพิ่มความสนใจในตัว e-book เท่านั้น
Peter Osnos ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการพิเศษของ PublicAffairs ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์อิสระ กล่าวว่า ” บริษัทแห่งนี้กำลังก้าวผ่านการต่อสู้ขั้นพื้นฐานอย่างแท้จริง สิ่งที่คุณมีก็คือการก่อตัวของปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของทิศทางการซื้อหนังสือที่กำลังเกิดขึ้น ในภาวะเศรษฐกิจซบเซาโดยทั่วไป ”
เมื่อมีการขยายร้าน Barnes & Noble ที่ Union Square ใน Manhattan นั้น การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่กำลังครอบคลุมบริษัทและธุรกิจนี้ได้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่ ชั้นหนังสือถูกทำให้ว่างเปล่าเพื่อที่จะทำให้เป็นห้องสำหรับของเล่นและเกมส์ มีสัญลักษณ์ห้อยลงมากจากเพดานเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกสดชื่นร่าเริง
Reidy จาก Simon & Schuster บอกว่า “ผมชอบทุกสิ่งที่ทำให้คนเข้ามาที่ร้าน ถ้าหากของเด็กเล่นหรือเกมส์นำครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งเข้ามาในร้านหนังสือ ผมก็พอใจแล้ว”
นอกจากนี้บริษัทกำลังอยู่ในช่วงก้าวสำคัญในการจับตลาดดิจิตอล ในเดือนกันยายนทาง Barnes & Noble จะเริ่มสร้างร้านขายเครื่องอ่าน e-book Nook ของตัวเองบนพื้นที่กว่า 1,000 ตารางฟุต
Samantha Robinson นักศึกษาวัย 24 ปี หยุดอยู่ตรงด้านนอกของร้านที่ Union Square เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในมือของมือมี Nook ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ เธอบอกว่า “ฉันกำลังจะซื้อหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ด้วยเครื่องอ่่าน e-book นี้ เพราะว่ามันราคาถูกมาก” และถ้าหากว่าเธอหยุดการซื้อหนังสือแบบตัวเล่มไปจริง ๆ “ฉันคงไม่คิดถึงมันเลย” เธอกล่าวทิ้งท้าย
อ้างอิงจาก www.nytimes.com