Barnes & Noble ประกาศผลประกอบการในไตรมาศที่เคยทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการ แต่ครั้งนี้เป็นในทางตรงกันข้าม โดยเฉพาะยอดขายในส่วนของ Nook ลดลงถึง 26% ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจเดียวที่มีอัตราการเติบโตมานานและเป็นส่วนที่จำเป็นในการเคลื่อนธุรกิจหนังสือให้เปลี่ยนถ่ายไปสู่ e-book
โดย Barnes & Noble ขาดทุนสุทธิคิดเป็น 6.06 ล้านเหรียญฯ โดยได้คิดรวมเม็ดเงินลงทุนในการแยกส่วนธุรกิจของ Nook อีก 74 ล้านเหรียญฯ ด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสามวันหลังจากที่ Leonard Riggio ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท ได้ออกมาแถลงว่า เขามีแผนที่จะเสนอซื้อร้านสาขาของบริษัท ผลลัพธ์ดังกล่าวอาจเป็นส่วนที่ทำให้มีหลักฐานชัดขึ้นว่า ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯอาจจะถึงเวลาล่มสลาย
James McQuivey นักวิเคราะห์จาก Forrester Research กล่าวว่า “มันถึงเวลาที่ต้องก้าวต่อไปอย่างมีความหวัง คุณค่าของการรักษาเทคโนโลยีอย่าง Nook ภายในร้านหนังสือแห่งหนึ่งก็คือการส่งผ่านลูกค้าไปยังการอ่านดิจิตอลและมีคนซื้อเครื่องใหม่ ส่ิงนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่อาจครองใจลูกค้าทุกคนของ Barnes & Noble ได้ และพวกเขาเองก็ไม่สามารถไปอยู่เหนือลูกค้าได้เช่นกัน”
หลังจากที่ส่วนธุรกิจดิจิตอลดูจะไม่มีอนาคตที่สดใส ทาง Barnes & Noble ได้กล่าวว่า จะทำการปรับปรุงหน่วยการลงทุนโดยการลดต้นทุน ขยายฐานการขาย ebook ออกไปยังอุปกรณ์อื่นและออกแบบอุปกรณ์ใหม่
ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
Barnes & Noble เปิดตัว Nook เป็นครั้งแรกในปลายปี 2009 เพื่อกรุยทางสู่ตลาดเครื่องอ่าน ebook ที่ Amazon เป็นผู้ครอบครองด้วยอุปกรณ์อย่าง Kindle ภายในระยะเวลา 2 ปี Barnes & Noble อ้างว่าบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด ebook ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก Amazon
ในไตรมาศ 3 ของปีงบประมาณ 2012 เฉพาะยอดขายของ Nook ซึ่งรวมตัวเครื่องและอุปกรณ์เสริมด้วยนั้น มียอดขายเพิ่มขึ้น 38% และในส่วนของ ebook มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 85% ความสำเร็จตรงจุดนี้นั้นช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านหนังสือสาขาของบริษัทช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาวเป็นปีที่สองติดต่อกัน
แต่เมื่อถึงช่วงเทศกาลวันหยุดที่เพ่ิงผ่านมา ก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เมื่อ Apple และ Google ได้เปิดตัวแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดเดียวกันกับ Nook เพื่อเข้ามาร่วมแชร์ส่วนแบ่งการตลาดที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจาก Amazon
Apple, Google
ในขณะที่ Nook ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี แต่ก็ยังต้องต่อสู้กับบริษัทอื่นๆ ที่ทุ่มงบประมาณในการโฆษณา อุปกรณ์ที่ออกมาใหม่นี้ยังมีความสามารถเพิ่มเติมอีกมากมาย พวกมันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า Nook ที่เน้นให้เป็นเพียงแท็บเล็ตสำหรับอ่าน ebook
สำหรับแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วนั้น ในช่วงแรกเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อให้แสดงผลหน้าเว็บไซต์หรือวิดิโอต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม แต่ Google และ Apple ได้เปลี่ยนอุปกรณ์ดังกล่าวให้กลายเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ ที่สามารถใช้ทดแทนการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งทำให้เบียดบังตำแหน่งของ Nook ไปในทันที
William Lynch ซีอีโอของ Barnes & Noble กล่าวว่า “เรากำลังจะหยุดสิ่งที่เราได้ทำ เราเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมเครื่องอ่าน ebook และแท็บเล็ต แต่ตลาดได้ขยับไปเป็นแท็บเล็ตที่ทำงานได้หลากหลายมากขึ้นและนั่นเป็นทิศทางที่กำลังเติบโต
สินค้าล้นสต็อก
ยอดขายในส่วนของ Nook ตกลงมา 26% มาอยู่ที่ 316 ล้านเหรียญฯ ในไตรมาศที่สาม ซึ่งรวมยอดขายในเดือนที่มีวันหยุดยาวอย่างพฤศจิกายนและธันวาคม ตามรายงาน ความต้องการที่ตกลงทำให้บริษัทมีต้นทุนจม จากสินค้าคงคลัง สินค้าที่ส่งคืนจากสายส่งและการลดราคา ซึ่งไม่เป็นผลดีกับรายได้ในอนาคตของ Nook เนื่องจากอุปกรณ์นี้เป็นตัวช่วยผลักดันยอดขายดังกล่าว โดยยอดขาย ebook เพิ่มขึ้นเพียง 6.8%
โดยภาพรวมของบริษัทไม่ได้ดูดีกว่าไตรมาศที่ผ่านมามากนักเมื่อรายรับร้านหนังสือลดลงมา 10% มาอยู่ที่ 1.5 พันล้านเหรียญฯ ในขณะที่สาขาในสถาบันการศึกษามียอดขายลดลง 1.6 % มาอยู่ที่ 517 ล้านเหรียญฯ และเมื่อสิ้นปีงบประมาณในเดือนเมษายน ยอดขายดังกล่าวอาจลดลงมาถึง 5% และในส่วนของร้านหนังสือที่อยู่ในสถาบันการศึกษาอาจมียอดขายลดลงมา 2-3% ดังนั้นรายรับรวมของบริษัทจะลดลงมาราว 8.8% มาอยู่ที่ 2.22 พันล้านเหรียญฯ โดยนักวิเคราะห์ได้ประเมินว่าบริษัทจะมีรายรับรวมที่ 2.4 พันล้านเหรียญ
สามขา
คุณกำลังเห็นบริษัทที่มีสามขาและทั้งสามขาก็กำลังมีปัญหา
Barnes & Noble แถลงว่า “แม้แต่ยอดขายที่กำลังเติบโตตามร้านสาขาต่างๆ ก็มีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง บริษัทกำลังทะยอยปิดร้านหนังสือสาขาลงเฉลี่ยปีละ 15 ร้านและจะดำเนินแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะร้านสาขากว่า 95% ยังคงสามารถทำกำไรได้อยู่
เมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา บริษัทกล่าวว่า อาจจะทบทวนแผนการที่จะแยกส่วนธุรกิจของ Nook ออกจากบริษัทเพื่อทำให้ตลาดจดจำคุณค่าของมันได้ เนื่องจาก Microsoft และ Peasrson ได้เข้ามาเป็นผู้ลงทุนในแผนกใหม่นี้ ซึ่งจะครอบคลุมไปถึงสื่อดิจิตอลและร้านหนังสือในสถานศึกษา