back to top

คนเจน Z ความจนไม่ใช่พันธุกรรม

Listen to this article

ระหว่างที่รถติดไฟแดง ตาก็เหลือบไปเห็นท้ายรถกระบะคันข้างหน้า ติดสติ๊กเกอร์ว่า “ความจนไม่ใช่พันธุกรรม”

จำได้ว่าเคยเห็นวลีนี้ตอนยังเป็นวัยรุ่น เวลาอ่านแล้วมันก็หึกเหิม โอกาสเป็นของคนที่พร้อมเสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปล่วงเลยเข้าวัยกลางคน เมื่อได้มาเห็นวลีนี้อีกครั้งกลับไม่ได้ทำให้หึกเหิมแต่กลับรู้สึกเข้าใจชีวิตและเห็นเส้นทางชีวิตของตนเองและใครหลายคนที่ได้เคยพบพานรู้จักกันมา จากคนไม่มีอะไรก็สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ จากคนที่ไม่มีอะไรสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้แล้วก็กลับไปเป็นคนที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมในตอนที่อายุมากขึ้นก็มี

…………….

นับตั้งแต่ที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้กระจายโอกาสให้กับผู้คน ผ่านชีวิตของผู้คนมาหลายชั่วรุ่น โลกได้พัฒนาไปไกลมาก แต่ทว่าคนรุ่นปัจจุบันกลับไม่ได้มีความมั่งคั่งมากกว่ารุ่นพ่อแม่ตามความก้าวหน้าของโลก แม้กระทั่งในประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนามากที่สุดก็ตาม

ตั้งแต่ที่เรายังเป็นเด็ก มักได้ยินผู้ใหญ่บอกให้ตั้งใจเรียน โตขึ้นมาจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีการมีงานที่ดีทำ มีอนาคตสดใส มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนรุ่นก่อนหน้า

แต่ในความเป็นจริงทุกวันนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังกัน ความเป็นจริงคือ คนทำงานวัยหนุ่มสาวเพียงปรารถนาที่จะมีชีวิตเหมือนเช่นพ่อแม่ของพวกเขาก็ดีถมเถไปแล้ว ทั้งนี้เพราะสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่คือหางานทำยากและต่อให้หางานทำได้ก็ไม่มีงานไหนที่จะมั่นคงดำรงอยู่ตลอดไป แถมเงินเดือนก็ไม่ได้มาก บ้าน ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ก็มีราคาแพงขึ้นกว่าแต่ก่อน จะลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวก็ไหนจะค่าบ้าน ค่ารถ มีลูกก็ค่าเลี้ยงดู ค่าเทอม เป็นคนมีค่าาาาาาใช้จ่ายมาก นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องเงินออม เงินเก็บเพื่อใช้หลังเกษียณ

น่าแปลกที่เราเห็นเมืองมีการขยายตัว เต็มไปด้วยความเจริญ เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีหัวเมืองใหญ่ มีมหานครเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก ต่างจากสมัยเมื่อ 40-50 ปีก่อน แต่ทำไมประชากรโลกกลับจนลง ทำไมไม่รวยขึ้นกันถ้วนหน้า ดาหน้ากันเข้ามารวย อะไรแบบนี้

เหตุใดโลกใบนี้ที่ดูว่ามั่งคั่งและเจริญก้าวหน้ากว่ายุคก่อนกลับสร้างคนรุ่นใหม่ที่จนลงกว่าเดิมกันเล่า ?  

ดังนั้นเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ความจนหรือว่ารวยเป็นเรื่องของผู้คน เราจึงต้องแบ่งกลุ่มผู้คนบนโลกออกเป็นเจเนอเรชันดังนี้

Baby Boomers (1946-1964) ผู้ที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราการเกิดเพิ่มขึ้นสูงมาก

Generation X (1965-1979) ผู้ที่เกิดในช่วงเวลาดังกล่าวต้องเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ

Millennials (1980-1994) ผู้ที่เกิดมาในช่วงที่มีการพัฒนาขึ้นของเทคโนโลยีต่าง ๆ มีโซเชียลมีเดีย

Generation Z (1995-2009) ผู้ที่เกิดมาในยุคดิจิตัล มีอิสระสูง มีทางเลือกมากมาย

Generation Alpha (2010-2024) ผู้ที่มีอายุน้อยสุดและมีทักษะทางด้านเทคโนโลยีและคุ้นเคยกับดิจิตัลแพลทฟอร์มต่าง ๆ เป็นอย่างดี

ตามสถิติล่าสุดของสหรัฐฯ ในปี 2023 กลุ่มประชากรของคนเจนมิลเลนเนียมมีจำนวนแซงหน้ากลุ่มคนเจนเบบี้บูมแล้ว รองลงมาคือกลุ่มคนเบบี้บูม ตามมาด้วยคนเจน X และเจน Z ตามลำดับ

แต่หากเรามองในภาพรวมของโลกจะพบว่าเจน Z กำลังจะเป็นกลุ่มประชากรที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก ตามมาด้วยเจนมิลเลนเนียมและเบบี้บูม

source : Visualizing the Global Population in 2035, by Generation


เมื่อเราแบ่งกลุ่มประชากรแล้ว จะเห็นได้ว่ากลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักขับเคลื่อนโลกใบนี้ก็คือคนเจน Z

……………………..

ตามรายงานข่าว 14 กรกฏาคม 2021 ค่าแรงขั้นต่ำไม่พอสำหรับจ่ายค่าเช่าบ้านในสหรัฐฯ

“ผมต้องทำงานหลายอย่างเพื่อให้มีเงินพอซื้ออาหาร ทั้งที่ ๆ ทำงานเต็มเวลาและยังหารค่าห้องกับเพื่อนแต่สุดท้ายก็ต้องดึงเงินเก็บมาใช้ บางทีก็ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่ก็อาศัยดื่มน้ำรองท้องให้อิ่ม”

“ตอนแรกที่ฉันออกมาเช่าห้องอยู่เอง ต้องจ่ายค่าเช่าราว 280 เหรียญฯ ต่อสัปดาห์ ส่วนเจ้าของก็ต้องการขึ้นค่าเช่าเป็น 480 เหรียญฯ ต่อสัปดาห์”

“ส่วนผมมีรายได้สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำสามเท่าแต่ก็ยังไม่พอใช้”

สถานการณ์แบบนี้จะเป็นอย่างไรในอีก 5 ปี เมื่อชาวอเมริกัน 100 ล้านคนไม่สามารถซื้อบ้านที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ได้ ขณะเดียวกันค่าเช่าก็จะปรับสูงขึ้นอีก 200%

ในแต่ละปีคนเจน Z ทุก 6 ใน 10 คน รู้สึกถึงอนาคตที่ไม่มั่นคงของพวกเขา มี Gen Z เพียง 15% เท่านั้นที่คาดหวังว่าจะมีรายได้พอซื้อบ้านภายใน 5 ปีนับจากนี้ และ 80% ของคนกลุ่มนี้ที่กำลังเช่าบ้านอยู่ต่างก็กังวลว่าค่าเช่าจะปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าที่พวกเขาจะจ่ายได้ ส่วนเจน Z 47% บอกว่าพวกเขาหรือสมาชิกในครอบครัวตกงานหรือไม่ก็ถูกลดค่าจ้างลงตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด

ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นเจเนอเรชั่นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คนเจน Z ราว 40% ต่างก็กำลังต่อสู้กับปัญหาทางด้านจิตใจไปพร้อมกันกับปัญหาทางการเงิน คนรุ่นนี้ถูกคาดหวังให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วกลับต้องมาจบลงด้วยความทุกข์ทางการเงิน

………..

ทำไมคนรุ่นพ่อแม่เจน Z มีงานมีการทำ หาซื้อบ้านได้ ทำไมคนเจน Z ซื้อไม่ได้ ? ทั้งที่เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลกว่าเดิมมากก็น่าจะทำให้เราทำมาหากินได้ง่ายกว่าเดิม มีรายได้มากขึ้น ?

ก่อนหน้าปี 2023 ที่จำนวนประชากรเจนมิลเลนเนียมจะแซงหน้ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์นั้น แสดงว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์เป็นกลุ่มประชากรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมาก่อนแถมยังเป็นกลุ่มที่มีความมั่งคั่งมากกว่ากลุ่มอื่น

ตามทฤษฏีระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมจะมองว่าการมีกลุ่มประชากรวัยเดียวกันน้อย ๆ เป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากไม่ต้องแย่งกันหางาน ไม่ต้องแข่งกันซื้อบ้าน ได้รับสวัสดิการสังคมเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้เรียนโรงเรียนดี ๆ และหากเป็นมุมมองเศรษฐศาสตร์มหภาคก็คือไม่มีการแข่งขันกันแย่งชิงในเรื่องต่าง  ๆ อย่างเช่นทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น

แต่คนเจนเบบี้บูมเป็นกลุ่มประชากรที่มีมากที่สุดแล้วยังมีการออมเงินอีกด้วย อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คนรุ่นนี้มีความมั่งคั่งไม่เป็นไปตามทฤษฏีข้างต้น

อำนาจต่อรอง

การเป็นคนส่วนใหญ่ในระบอบประชาธิปไตยมักจะได้เปรียบเพราะทำให้กลุ่มมีอิทธิพลในการใช้สิทธิออกเสียงทั้งยังสร้างความโน้มเอียงทางการตลาดได้อีกด้วย พวกเขามีอำนาจในการโหวต ยากที่กลุ่มประชากรอื่นจะมาแข่งขันด้วย ทำให้พวกเขากลายเป็นคนรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก

ในตอนที่กลุ่มคนเบบี้บูมยังอยู่ในวัยทำงาน พวกเขาลงคะแนนเสียงให้กับพรรคการเมืองที่มีนโยบายเอื้อประโยชน์กับพวกเขา เช่น เรียนฟรีในระดับการศึกษาที่สูง มีสวัสดิการสังคมที่เข้มแข็ง เมื่อพวกเขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในอาชีพการงาน รูปแบบการลงคะแนนของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไปอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้จะมาในแนวที่เทคะแนนโหวตไปในทิศทางที่เป็นการลดหย่อนภาษี ผ่อนคลายกฎระเบียบการทำธุรกิจ เน้นให้มีการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้างผลิตหรือย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ

จากนั้นอีก 50 ปีต่อมา ถึงตอนนี้เมื่อคนกลุ่มเบบี้บูมเริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุ พวกเขาก็เริ่มที่จะเทคะแนนเสียงไปให้กับนโยบายที่สนับสนุนผู้คนวัยเกษียณ กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนชราภาพ สิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพและการได้รับการยกเว้นภาษี ถึงแม้ว่าสิทธิประโยชน์ที่กล่าวมาทั้งหมดจะต้องอาศัยเงินชดเชยที่มาจากการเก็บภาษีจากคนรุ่นหนุ่มสาววัยทำงานแทน

…………. ……………..

การมีงานทำ

ในช่วงทศวรรษที่ 50 – 60 ประชากรโลกมีอยู่ราว ๆ หนึ่งในสามของปัจจุบัน คนเจนเบบี้บูมมีการแข่งขันกันน้อยในทุก ๆ เรื่อง รวมถึงเรื่องงานที่มีกลุ่มประชากรวัยทำงานให้เลือกไม่มากนัก ประชากรวัยทำงานจะเป็นผู้ชายเสียส่วนใหญ่ผู้หญิงจะมีน้อยมาก นั่นก็ยิ่งเป็นการลดอุปทานของแรงงานอีกทางหนึ่งด้วย
ซึ่งการที่ผู้หญิงไม่ได้เข้าสู่ตลาดแรงงานเต็มตัว ไม่ได้เป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยตรง แต่พวกเธอรับผิดชอบภาระทางบ้านที่ทำให้ครัวเรือนลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ออกไปหลายอย่าง อย่างเช่น ค่าดูแลเด็ก ทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน และการดูแลรักษาทั่วไป เพราะผู้หญิงทำงานบ้านให้หมด

ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์กันระหว่างรายได้กับรายจ่ายที่น้อยลง หมายความว่าจะมีเงินไปจ่ายหนี้ค่าบ้านในจำนวนเงินที่บริหารจัดการได้เท่ากับรายได้

ในทศวรรษที่ 50 บ้านคือสินค้าโภคภัณฑ์ รายจ่ายส่วนใหญ่หมดไปกับการสร้างบ้าน การจะมีรถราคาแพงกว่าบ้านนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล พวกเขาสามารถซื้อบ้านได้หลายหลังเพราะตอนนั้นราคาบ้านยังถูก

ในช่วงทศวรรษที่ 70 – 80 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงทศวรรษที่มีการซื้อบ้านสูงมากโดยราคาบ้านในสหรัฐฯ ในปี 1985 นั้นอยู่ที่ราว  ๆ 82,000 เหรียญฯ อัตราดอกเบี้ยผ่อนบ้าน ณ เวลานั้นอยู่ที่ราว 15% หรือประมาณ 15,000 เหรียญฯ ต่อปี แต่ก็อาจมีบางปีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น แต่ผู้กู้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ดังนั้นตีว่าอัตราดอกเบี้ยบ้านสูงสุดอยู่ที่ 15%

ส่วนราคาบ้านโดยเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ที่ 430,000 เหรียญฯ โดยที่อัตราดอกเบี้ยบ้านสูงกว่า 5% เล็กน้อย หรือราว 21,500 เหรียญฯ ต่อปี ที่ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย ซึ่งก็พอจะมองเห็นภาพจากการเปรียบเทียบและเข้าใจได้ว่า เหตุใดคนรุ่นใหม่ถึงบ่นว่าบ้านมีราคาแพงเกินกว่าจะซื้อหาเป็นเจ้าของได้แล้ว

เงินเฟ้อ

อาจจะมีข้อโต้แย้งเรื่องเงินเฟ้อ เงินเฟ้อในปัจจุบันสูงกว่าในอดีตอย่างมาก แต่นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

เพราะอะไร ?

อัตราเงินเฟ้อในปี 1985 อยู่ที่ 3.5% ในขณะที่ปี 1980 อัตราเงินเฟ้อสูงถึง 13.5% แต่นั้นเป็นตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ราคาบ้านตลอดช่วงทศวรรษดังกล่าวกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทีละนิดทีละหน่อยเท่านั้น   ตรงกันข้ามกับปัจจุบันที่ราคาบ้านนั้นพุ่งเกินอัตราเงินเฟ้อไปแล้ว ต่างจากในช่วงทศวรรษ 70-80 ที่กล่าวมาข้างต้น

สิ่งที่ช่วยให้คนเจนเบบี้บูมสามารถซื้อบ้านสักหลังได้ง่ายกว่าคนเจน Z นั้นยังมีตัวช่วยอีกอย่างก็คืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูง เมื่อฝากเงินธนาคารได้ดอกเบี้ย 10% ต่อปี นั่นคือตัวกระตุ้นการฝากเงิน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงนั้นทำให้แน่ใจได้ว่าราคาบ้านจะไม่สูงมากจนเกินไปเนื่องจากจะทำให้ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้

………………

ปัจจุบันโลกมีประชากรกว่า 8.2 พันล้านคน กลุ่มประชากรที่มีมากที่สุดในตอนนี้ก็คือคนเจน Z ที่คอยเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ส่วนใหญ่พวกเขาเพิ่งเริ่มต้นทำงาน ทำให้ได้รับค่าจ้างหรือเงินเดือนไม่สูงนัก ในขณะที่งานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเมือง

เศรษฐกิจทั่วโลกแอบอิงอยู่กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของศูนย์กลางขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “เมือง” หากราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่เหล่านี้มีราคาแพงมากเกินไป ก็จะส่งผลให้การซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ เนื่องจากรายได้ของพวกเขาส่วนใหญ่ต้องจ่ายเป็นค่าเช่า ในระยะสั้นแล้วอาจสามารถชดเชยด้วยการขึ้นค่าแรง แต่หลังจากนั้นราคาอสังหาในเมืองเหล่านี้ก็ต้องปรับตัวไปตามกลไกตลาดจากการที่คนต่างก็พากันเข้ามาหางานทำในเมือง ค่าเช่าเองก็จะปรับตัวสูงขึ้นแทบจะไม่มีเงินพอเก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อบ้าน สร้างครอบครัว มีลูก นั่นหมายความว่าต้องเป็นคนที่มีโชคดีมากพอเก่งบวกเฮงถึงจะเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่นี่ได้

ส่วนเม็ดเงินที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทำได้นั้นมักมีแนวโน้มที่จะใช้ไปกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์มากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างแรงผลักดันให้มูลค่าตลาดและปริมาณเม็ดเงินที่ดูดออกมาจากศูนย์กลางการผลิตไปฝังลงกับสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดการผลิตมูลค่าทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้นแล้วราคาบ้านที่ปรับตัวสูงขึ้นยังลดการเคลื่อนย้ายทางสังคมและถิ่นฐานอีกด้วย

…………….

เมื่อเรารับทราบเหตุผลต่าง ๆ นานาที่ทำให้คนเจนเบบี้บูม มีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บ มีงานทำได้มากกว่าคนเจนอื่นๆ แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปคนเจนเบบี้บูมก็เริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุ แล้วความมั่งคั่งที่พวกเขามีจะส่งต่อให้ใครหรือไปอยู่ที่ไหนแล้ว

ส่วนใหญ่แล้วความมั่งคั่งของคนเจนเบบี้บบูมจะถูกส่งต่อในรูปของธุรกิจครอบครัว ธุรกิจขนาดเล็กเหล่านั้นจำเป็นต้องมีเจ้าของเพื่อที่จะให้ดำเนินการต่อไปได้รวมถึงผู้คนที่สืบทอดธุรกิจเหล่านั้นต่างก็มีทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจหรือไม่สามารถบริหารธุรกิจเหล่านั้นได้

ธุรกิจขนาดเล็กถือว่าเป็นส่วนใหญ่ของระบบเศรษฐกิจ การสูญเสียกลุ่มนี้ไปจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอย่างมาก แต่ธุรกิจเหล่านี้เองก็มีการเปลี่ยนมือได้ โดยผู้สืบทอดมรดกขายให้กับคนที่พร้อมที่มีทักษะและปรารถนาที่จะทำธุรกิจดังกล่าวจริงๆ  หรือขายธุรกิจที่เป็นมรดกตกทอดให้กับคนที่ได้เงินจากกองมรดกมาซื้อเช่นกัน

ส่วนใหญ่แล้วผู้คนจะได้รับเงินหรือมรดกตกทอดจากพ่อแม่ก็ตอนที่เริ่มจะมีอายุกันแล้ว ใกล้จะเกษียณ ซึ่งแน่นอนว่าการได้รับมรดกในช่วงเวลานี้ของชีวิต พวกเขาก็จะใช้มันเพื่อเป็นกองทุนหลังเกษียณแล้วก็ส่งต่อไปให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป การที่เม็ดเงินไปอยู่ในมือของผู้สูงอายุหมายความว่าจะมีการสร้างโอกาสน้อยลงให้กับคนวัยหนุ่มสาวในการที่พวกเขาจะทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ซื้อบ้าน มีงานดี ๆ ทำ  มีครอบครัวเพื่อที่จะยังมีแรงงานป้อนให้กับระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง นักเศรษฐศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่าปัญหาความมั่งคั่งระหว่างเจเนอเรชัน

หากเราจะชดเชยการหารายได้ด้วยการเก็บภาษีจากความมั่งคั่งและภาษีมรดกก็อาจจะไม่ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะนโยบายดังกล่าวไม่ได้เป็นที่นิยมในเหล่าบรรดาประชากรกรกลุ่มใหญ่ที่มีสิทธิเลือกตั้ง ดังที่เราได้กล่าวไปแล้วข้างต้น นี่คือความผิดของคนเจนเบบี้บูมหรือไม่ ?

แวะมาดูทางตะวันออกกันบ้าง….

จีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตเป็นอันดับสองของโลกเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ชาวจีนที่เกิดในช่วงเบบี้บูมนั้นเป็นช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่สูญหายเนื่องจากพวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ของการทำงานเพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจที่ติด ๆ ขัด ๆ ทำให้แก่เกินไปที่จะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่ทศวรรษภายหลังจากที่จีนเปิดประเทศ นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ได้รื่นรมย์ไปกับความรุ่งโรจน์ทางเศรษฐกิจแบบเดียวกันกับที่ชาติตะวันตกได้รับ

ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 โลกเปิดสู่การค้าเสรีและมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากการอาศัยพลังงานราคาถูกในรูปของเชื้อเพลิงฟอสซิล ผู้คนกลายเป็นมหาเศรษฐี มหาเศรษฐีร้อยล้าน พันล้านที่พวกเขาจะไม่ต้อองกลับไปเป็นคนจนอีก

หากเราพูดถึงคนกลุ่มหนึ่งที่มีเศรษฐีพันล้าน 1 คน และที่เหลืออีก 999 คนล้วนเป็นคนจน แต่ค่าเฉลี่ยของคนทั้งกลุ่มก็คือมหาเศรษฐีอยู่ดี เศรษฐีพันล้านส่วนใหญ่แล้วจะค่อนข้างมีอายุ แล้วหากเราดูช่วงอายุของมหาเศรษฐีพันล้านของจีน ประเทศที่ไม่จำเป็นต้องมีการลงคะแนนเสียง สามารถเห็นได้ชัดว่าความมั่งคั่งนั้นมาจากช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง ไม่ใช่เพียงความสามารถในการสนับสนุนนโยบายสาธารณะเพื่อให้ประชากรกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดได้ประโยชน์

ถ้าอย่างนั้นแล้วการที่คนเจน Z ดูเหมือนจะลำบากที่สุดนั้นเพราะอะไร ?

จากสถิติพบว่าคน Z จำนวน 47% บอกว่าพวกเขาหรือสมาชิกในครอบครัวตกงานหรือไม่ก็ถูกลดค่าจ้างตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นเจเนอเรชั่นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คนเจน Z ราว 40% ต่างก็กำลังต่อสู้กับปัญหาทางด้านจิตใจไปพร้อมกันกับปัญหาทางการเงินที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญ

คนเจน Z นั้นขี้เกียจ รักสบายอย่างที่คนอื่น ๆ พูดหรือไม่ ?

ลองทบทวนถึงเรื่องพวกนี้ดูอีกที คนเจน Z ต้องเผชิญกับวิกฤติทางเศรษฐกิจหลายครั้งหลายหน ไหนจะต้องเจอปัญหาความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ โรคระบาด ทั้งยังมีความกังวลในเรื่องที่ AI จะเข้ามาแย่งงาน คนในช่วงอายุดังกล่าวนี้คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของกลุ่มประชากรสหรัฐฯ และอังกฤษ เป็นสัดส่วนที่พอ ๆ กันกับกลุ่มเบบี้บูมในปัจจุบัน 

ในส่วนของประเทศกำลังพัฒนาประชากรกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนมากกว่า อย่างเช่นไนจีเรีย ที่มีคนเจน Z สูงถึง 32% ของประชากร ส่วนอินเดียคิดเป็น 32%

เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มคนมิลเลนเนียม คนเจน Z มีความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมมากกว่า พวกเขาใส่ใจกับเรื่องราวทางสังคมแม้ว่าจะเข้าสังคมน้อยกว่า 38 นาทีต่อวันในขณะที่กลุ่มมิลเลนเนียมเข้าสังคมเฉลี่ย 1 ชั่วโมงต่อวัน

สิ่งที่ทำให้โลกนี้พังก็คือหนี้มหาศาล ภาคแรงงานหดตัว  การเติบโตของประชากรลดลง ส่งผลให้ GDP โตช้า เมื่อ  GDP โตไม่ถึงเป้าก็ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ นับตั้งแต่ปี 2008 การพิมพ์เงินออกมาส่งผลให้เงินเสื่อมค่า

ผู้คนมันกจะคิดในแง่ที่ว่าเมื่อเกิดเงินเฟ้อ สินค้าราคาแพงขึ้น ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สูงขึ้น แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงเท่านั้น ยังมีสิ่งที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือค่าแรงไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ราคาสินค้า อสังหาริมทรัพย์ กลับปรับตัวสูงขึ้น นั่นก็เพราะว่าเราไปทำให้เงินเสื่อมค่าและสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือเราไม่สามารถหาเงินหรือมีรายได้มากพอจะไปซื้อสินทรัพย์เหล่านั้นได้แล้วยิ่งจนลงทุกทีจากนี้ไป

ตัวอย่างที่เห็นได้บ่อยก็คือ คนอเมริกันอายุ 35 ปี แต่งงาน มีลูก ต้องมีบ้านแต่ราคาบ้านในตอนนี้ก็แพงมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนคือประมาณ 3 เท่าของรายได้ แต่ตอนนี้ปรับขึ้นเป็นราว ๆ  10 เท่าของรายได้ ดังนั้นจึงไม่มีหนทางที่จะไต่เต้าขึ้นไป ประโยชน์ที่คนรุ่นพ่อแม่เคยได้จะไม่มีในคนรุ่นนี้

34% ของเจน Z มองว่าพวกเขาไม่สามารถซื้อบ้านเป็นของตนเองได้ในช่วงชีวิตนี้ ไม่ใช่แค่ในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้าแต่หมายถึงทั้งชีวิต นอกจากนั้นแล้วในปี 2022 อายุเฉลี่ยของผู้ซื้อบ้านหลังแรกนั้นมีอายุสูงเป็นประวัติการณ์คือ 36 ปี จะเห็นได้ว่าคนเจน Z จะอาศัยอยู่กับพ่อแม่นานกว่ารุ่นก่อนหน้าเพื่อประหยัดค่าเช่า ตัวอย่างเช่นในสหรัฐฯ คนวัยทำงานที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่เพิ่มขึ้น 87% ในช่วง 20 ปีมานี้ ส่วนในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นถึง 177% นับตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งเฉพาะซิดนีย์มีอสังหาริมทรัพย์เพียง 0.1% ที่มีราคาพอให้คนทั่วไปจับต้องได้ ที่แคนาดามีนักศึกษาคนหนึ่งพบว่าการนั่งเครื่องบินจาก Calgary ไปยังแวนคูเวอร์เพื่อเรียนหนังสือยังถูกกว่าการจ่ายค่าเช่าห้องเสียอีก

ในสหรัฐฯ ราคาบ้านถีบตัวเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่ารายได้ครัวเรือนถึงสองเท่า นั่นคือต้องใช้เวลาเก็บเงินราว 6 ปีเพื่อซื้อบ้านในราคาเฉลี่ยสักหลัง เมื่อเทียบกับกลุ่มเบบี้บูมแล้ว พวกเขาใช้เวลาเพียง 2-3 ปี ส่วนเจน X ใช้เวลา 3-4 ปี ส่วนชาวมิลเลนเนียมใช้เวลา 4-5 ปี ส่วนเจน Z ใช้เวลา 6-7 ปี แต่ออสเตรเลียกำลังอยู่ในอีกระดับหนึ่ง ราคาบ้านเฉลี่ยในซิดนีย์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6 ล้านเหรียญฯ หากคุณมีรายได้ทางเดียว ต้องใช้เวลาเก็บเงินโดยเฉลี่ยกว่า 14 ปี เพื่อซื้อบ้าน ซึ่งการใช้เวลา 14 ปีในการทำงาน หากคุณต้องเก็บเงินรวมทั้งรายได้จากทุกทางที่คุณมี 100%  ก็หมายความว่าคุณต้องทำตัวเป็นคนไร้บ้านและคุ้ยขยะกินเพื่อให้มีเงินเก็บตามเป้า

เมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นมิลเลนเนียมกลับไม่ได้ดีไปกว่ากันเพราะพวกเขาเองก็ต้องเจอกับวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 ผลกระทบทางสังคมก็คือการเป็นเจ้าของบ้านนั้นยิ่งยากขึ้นไปกว่าเดิมสำหรับทั้งคนวัยหนุ่มสาวเจนมิลเลนเนียมและคนเจน Z ที่คิดจะแต่งงานสร้างครอบครัวมีลูก ทำให้เกิดความิยมการสร้างบ้านที่มีขนาดเล็กลงหรือทำบ้านน็อคดาวน์ บ้านหลังเล็กๆ

พบว่าคนเจนมิลเลนเนียมและคนเจน Z  ต่างก็ซื้อบ้านน็อคดาวน์จาก Amazon ในราคาต่ำกว่า 40,000 เหรียญฯ ในขณะที่ราคาบ้านโดยเฉลี่ยในสหรัฐฯ อยู่ที่ราว ๆ 400,000 เหรียญฯ ในบางรัฐฯ อย่างแคลิฟอร์เนียนั้น ราคาบ้านโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 770,000 เหรียญฯ

……………………………………….

แล้วคนเจน Z ต้องทำอย่างไรในตอนนี้ ?

ค่อนข้าางเห็นได้ชัดว่านี่เป็นบรรยากาศที่ค่อนข้างอึดอัด พ่อแม่ต้องตระหนักว่าลูก ๆ ของพวกเขากำลังเจอกับปัญหา

คนเจน Z มีข้อได้เปรียบทางด้านเทคโนโลยีซึ่งสถานการณ์การแข่งขันมีความได้เปรียบเสียเปรียบกันไม่มาก เรากำลังจะเห็นกลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ เนื่องจากความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีที่ทำให้มันง่ายขึ้น เทคโนโลยีได้ช่วยให้ผู้คนไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนักแต่ทว่าในทางกลับกันมันก็กลายเป็นดาบสองคมได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ความก้าวหน้าทางด้าน AI ที่จะเข้ามาแทนที่แรงงานคน

ตามรายงานของ The Economist ค่าจ้างคนเจน Z กำลังสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่ากลุ่มอายุอื่น ที่สหรัฐฯ ค่าแรงต่อชั่วโมงสำหรับกลุ่มคนอายุ 16 ถึง 24 ปี เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกันปีต่อปี ในขณะที่กลุ่มคนทำงานในช่วงอายุ 25-54 ปีเพิ่มขึ้น 13% ส่วนค่าแรงต่อชั่วโมงของคนทำงานในช่วงอายุ 18-21 ในอังกฤษเพิ่มขึ้น  15% ซึ่งมากกว่าทุกช่วงอายุ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 6%

หลังจากเกิดภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ผู้คนมากมายต่างก็ออกมาเรียกร้องขอขึ้นค่าตอบแทน แต่ความแตกต่างที่เกิดกับเจน Z ก็คือ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่อายุน้อยที่สุดดังนั้นจึงมีฐานเงินเดือนต่ำที่สุด ทำให้บริษัทต่าง ๆ สามารถจ่ายให้พวกเขาเพิ่มขึ้นได้เนื่องจากมันยังคงอยู่ในเรทที่ต่ำอยู่เมื่อเทียบกับต้องเก็บคนที่อายุมากเงินเดือนสูงไว้กับบริษัท แต่ถึงแม้ค่าแรงของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มันก็ไม่เร็วพอที่จะทำให้รายได้รวมเพียงพอต่อค่าครองชีพได้ในขั้นสบาย จึงมีคำถามว่า เพราะเหตุใดการขึ้นเงินเดือนจึงไม่ได้หมายถึงความมั่นคงทางด้านการเงิน คำตอบสั้น ๆ ก็คือ “เงินเฟ้อ”

คนเจน Z ส่วนมากเพิ่งเริ่มต้นอาชีพและอาจจะได้รับค่าตอบแทนในระดับต่ำ  เพื่อเข้าถึงตลาดแรงงานระหว่างช่วงที่เงินเฟ้อถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 70 ซึ่งสร้างแรงกดดันไม่น้อยต่อหนุ่มสาววัยทำงาน ตามรายงานจาก Business Insider คนเจน Z นิยมเปลี่ยนงานบ่อย การเปลี่ยนงานบ่อยกว่าปรกติทำให้พวกเขาได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเกือบจะ 30%
…….

source : Inflation and Prices | Econofact

ในปี 2022 เงินเฟ้อได้พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด เกิดการดิสรัปห่วงโซ่อุปทานสินค้านั่นหมายความว่าราคาสินค้าแพงขึ้นเพราะสินค้าหายากกว่าเดิมหรือขาดตลาด ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก รัฐบาลจึงต้องพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าไปในระบบเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจยังขับเคลื่อนต่อไปได้ซึ่งก็เป็นวิธีการหนึ่งแต่ว่าเงินส่วนต่างที่พิมพ์เพิ่มเข้าไปในระบบก็หมุนวนอยู่ในระบบเศรษฐกิจและส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ราคาสินค้าในขายของชำในละแวกย่านที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้น 8% นี่ยังไม่รวมถึงราคาเชื้อเพลิง ค่าโดยสาร ค่าเช่า ค่าขนส่ง แม้แต่ค่าเทอมต่างก็ปรับตัวสูงขึ้น

เจน Z ไม่เคยเห็นราคาปรับขึ้นเร็วขนาดนี้มาก่อนในช่วงชีวิตของพวกเขา ทำอาจได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจจากปัญหาเงินเฟ้อที่สูงลิบและอาจทำให้เหนื่อยล้ากับการแก้ปัญหาเพื่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ชีวิตของผู้คนทั่วโลกไม่ได้เป็นปรกติสุขนัก นับจากกลางทศวรรษที่ 70 ไปจนถึงปี 1981 อัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดขึ้นไปแตะ 20% ทุกอย่างราคาแพงมากตรงกันข้ามกับค่าจ้างที่ไม่ไปไหน ทำให้ครอบครัวต้องออกมาช่วยกันหารายได้เพิ่มจากที่มีแต่ผู้ชายส่วนผู้หญิงจะดูแลงานบ้าน พวกเขาไม่มีทางเลือก ทำให้เรามีผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานกันมากขึ้นจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือเพื่อชดเชยราคาสินค้าแต่ราคาสินค้าและบริการต่างๆ ก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอยู่ดี ตัวอย่างเช่น หากตัวเลขเงินเฟ้อลดลงจาก 8% เหลือ 3% ไม่ได้หมายความว่าราคาสินค้าจะปรับตัวลดลง แต่หมายถึงว่าราคาสินค้าเกิดการปรับตัวขึ้นในอัตราที่ช้าลง การขึ้นค่าแรงนั้นอาจช่วยได้บ้างแต่ในความเป็นจริงแล้วคนวัยหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มทำงานยังมีค่าแรงที่ต่ำอยู่ ดังนั้นภาวะเงินเฟ้อในระดับสูงนั้นจึงเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบกับพวกเขาค่อนข้างมาก นี่ยังไม่นับว่าไม่มีการตกแต่งตัวเลขเงินเฟ้อให้ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อรักษาคะแนนนิยมของรัฐบาล เพราะตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้

มีรายงานว่าคนเจน Z เพียง 44% ที่พอใจกับงานที่ตนเองทำอยู่ต่างจากคนรุ่นก่อนหน้าที่พึงพอใจกับงานที่พวกเขาทำอยู่ถึง 67% คนเจน Z ทำงานเป็นงานเพื่อให้มีงานทำแต่ไม่ได้รู้สึกต้องทุ่มเทอะไรขนาดนั้น ไม่ได้ต้องการดิ้นรนทำงานให้ดีไปกว่านี้ คุณค่าของพวกเขาไม่ได้ยึดติดอยู่กับงานที่ทำ ไม่ได้มองว่างานคือเงินคือชีวิต ที่เราเรียกภาวะนี้ว่า “quiet quitting” ถ้าจะพูดให้เป็นไทยก็คงประมาณ “ทำเท่าที่ทำไหว แค่ไหนแค่นั้น  ได้ไม่ได้ก็ช่างแม่ง” หรืออย่างเรื่องของ Bare minimum Monday อย่าเอางานอะไรมากองสุมกันในวันจันทร์ ให้ชีวิตมันยาก ให้เน้นทำอะไรสักอย่างสองอย่างก่อนให้เสร็จเป็นอัน ๆ ไป พวกเขาเน้น Work life Balance ไม่ใช่ Work ไร้ Balance

มีการสำรวจในปี 2022  พบว่าคนอเมริกันในช่วงอายุระหว่าง 15-24 ปี ใช้เวลาที่เกี่ยวกับการทำงานลดลง 25% เมื่อเทียบกับปี 2007

การสำรวจถึงทัศนคติของนักเรียนอเมริกันที่ศึกษาอยู่ในระดับเกรด 12 ซึ่งมีอายุระหว่าง 17-18 ปี ที่มองว่าการทำงานเป็นส่วนสำคัญของชีวิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด

นี่อาจทำให้คนรุ่นก่อนหน้าเจน Z มองทัศนคติของพวกเขาว่าไม่ได้เรื่อง ไม่มีความตั้งใจทำงาน ซึ่งมีการสำรวจพบว่า ผู้จัดการสามในสี่คนพิจารณาว่าเจน Z เป็นกลุ่มคนที่ทำงานด้วยยากที่สุดน ยังพบด้วยว่า 60% ของผู้จัดการในอเมริกาได้ไล่พนักงานเจน Z ออก โดยอ้างเหตุผลว่าคนกลุ่มนี้ต้องการออกงานเร็วเข้างานสายและต้องการได้เงินเดือนสูง ๆ ซึ่งก็เป็นปัญหาเดียวกันกับที่ผู้จัดการในออสเตรเลียกำลังเผชิญอยู่

สำหรับคนเจน Z แล้ว ความจนไม่ใช่พันธุกรรมแต่อาจเป็นโรคระบาดที่ต้นตอมาจากเงินเฟ้อ การบริโภคเกินตัวของคนรุ่นก่อนหน้า และปัญหาที่สะสมพอกพูนจนมาระเบิดที่คนรุ่นนี้ก็เป็นได้ หากคนเจน Z เริ่มต้นจากเสื่อผืนหมอนใบหวังจะสร้างเนื้อสร้างตัว ถึงตอนนี้คงเหลือแต่เสื่อ ส่วนหมอนหายไปไหนไม่รู้ตั้งนานแล้ว

ถ้าทั้งหมดทั้งปวงที่ว่ามาเราอาจสรุปสั้น ๆ 3 บรรทัด ได้ว่า “เราจะสอนลูกหลานเราหรือเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ทำมาหากินอะไรดี ที่ให้ตั้งหลักตั้งฐานตั้งตัวได้ ในขณะที่เราก็อายุมากกันแล้ว ประเทศชาติก็เข้าสู่สังคมสูงอายุ อัตราการเกิดต่ำ ไม่อย่างนั้นแล้วเศรษฐกิจของครอบครัว ของชุมชน ของประเทศ ก็ไม่เจริญก้าวหน้าแล้วก็อาจล่มสลายได้ในที่สุด”

………………………….

แนะนำหนังสือต่างประเทศที่เกี่ยวกับ Generation Z

“Generations: The Real Differences Between Gen Z, Millennials, Gen X, Boomers, and Silents—and What They Mean for America’s Future” by Jean M. Twenge ISBN-13: 9781982181611

“Gen Z, Explained: The Art of Living in a Digital Age” by the Harvard University Department of Sociology ISBN-13: 9780226791535

“Generation Z Unfiltered: Facing Nine Hidden Challenges of the Most Anxious Population” by Tim Elmore and Andrew McPeak ISBN-13: 9781732070349

“Generation Z: A Century in the Making” by Corey Seemiller and Meghan Grace ISBN-13: 9781138337317

“iGen: Why Today’s Super-Connected Kids Are Growing Up Less Rebellious, More Tolerant, Less Happy—and Completely Unprepared for Adulthood” by Jean M. Twenge ISBN-13: 9781501151989​

“Generation Z: Their Voices, Their Lives” by Chloe Combi ISBN-13: 9781784189949​

“The Anxious Generation: How the Great Rewiring of Childhood Caused an Epidemic of Mental Illness” by Jonathan Haidt ISBN-13: 9781982132811​

“No Filters” by Christie Watson and Rowan Egberongbe ISBN-13: 9781784744506​

“The Politics of Gen Z: How the Youngest Voters Will Shape Our Democracy” by Melissa Deckman ISBN-13: 9780197586797​

“Let Them Stare” by Jonathan Van Ness and Julie Murphy ISBN-13: 9780063026540

Herothailand.com รับสั่งหนังสือต่างประเทศ สินค้าต่างประเทศ
พร้อมรับประกันการจัดส่งถึงบ้าน
ไม่ได้รับสินค้า ยินดีคืนเงินเต็ม 100%
Tel : 08-5464-1644

Latest Top Stories

More Stories Like This