ช่วงนี้หลายบ้านคงกำลังเข้าสู่ช่วงสอบกลางภาคหรือมิดเทอม และอีกไม่นานก็จะปิดเทอมแล้ว สำหรับน้อง ๆ ที่เตรียมเข้าค่ายวิชาการ บางบ้านก็ยังต้องขยันกันต่อไป แต่พ่อแม่ทุกคนล้วนภูมิใจเมื่อเห็นลูกมีทางเลือกและความสนใจของตัวเอง
แต่สำหรับหลายบ้านที่มีลูกเล็ก ๆ ไม่ว่าจะเพิ่งเข้าโรงเรียน หรือเริ่มเรียนไปได้ไม่นาน บางครั้งเห็นผลการเรียนของลูกแล้วก็รู้สึกท้อใจบ้าง บางวันไปโรงเรียนแล้วทะเลาะกับเพื่อน หรือเจอปัญหาสุขภาพ เช่น ไข้หวัด หัด ท้องร่วง หอบหืด RSV มือเท้าปาก หรือไปโรงเรียนนี้แล้ว ลูกอั้นฉี่ พอย้ายมาโรงเรียนใหม่ ร่าเริง สดใส เป็นต้น พ่อแม่ต้องคอยจัดการและรับมือกันแทบทุกวัน
พอเด็กโตขึ้น ก็จะเริ่มเจอทางเลือกทางการศึกษาเต็มไปหมด — โรงเรียนไหนสอนดี ไม่เน้นสอบ เน้นกิจกรรม หรือใช้หลักสูตรต่างประเทศ เพื่อให้เด็กพัฒนาทั้ง EQ และ IQ บางบ้านมองหาห้องเรียนที่เน้นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษา
เด็กเล็ก ๆ จริง ๆ แล้วรู้ตัวหรือยังว่าชอบอะไร? พ่อแม่รู้หรือเปล่าว่าลูกชอบอะไร? หรือแม้แต่ตัวพ่อแม่เอง — ชอบหรือไม่ชอบอะไร? เราไม่สามารถรู้คำตอบทั้งหมดพร้อมกันได้ และแน่นอนว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้แต่ลายนิ้วมือยังไม่เหมือนกันเลย หรืออย่างวิชานี้ คุณครูดุมากเลย พลอยเกลียดวิชานั้นไปด้วย หากบังเอิญเป็นวิทยาศาสร์หรือคณิตศาสตร์นี่ก็ยุ่งเลย แต่อีกวิชาหนึ่งคุณครูใจดีมาก สอนสนุก ชอบ เลยรักวิชานั้น อะไรแบบนี้ พอขึ้นชั้นใหม่เปลี่ยนคุณครู จากวิชาที่เคยเกลียด กลับมาชอบ กลับมาถนัดกว่าเดิม !!

การศึกษาเปลี่ยนอนาคต แต่ค่าใช้จ่ายสูง
พ่อแม่หลายคนเชื่อว่า การศึกษาเป็นกุญแจสำคัญที่เปลี่ยนอนาคตเด็ก โรงเรียนดี ๆ ค่าเทอมก็สูง บางที่เรียนฟรีแต่ก็ยังมีค่าเรียนพิเศษอีกมาก บางบ้านต้องส่งลูกเรียนพิเศษตั้งแต่ ม.1, ม.4 หรือแม้กระทั่งเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย บางครั้งพอเด็กไปเรียนพิเศษ กลับไปนั่งวาดรูปฆ่าเวลาแทนที่จะเรียนจริง จะไม่ให้ไปเรียนก็กลัวแข่งขันสู้คนอื่นไม่ได้
ถ้าเรามีเงินเหลือเฟือ เรื่องพวกนี้ไม่ยาก แค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก แต่หลายบ้านต้องคิดหนัก เพราะต้องดูแลปากท้องตัวเองด้วย อยากให้ลูกได้ทุกอย่างนั่นแหละ แต่ตัวเราเองก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง หลังบ้านติดภูเขา หน้าบ้านติดแม่น้ำ ตัวบ้านติด Wifi เจ้าของบ้านติดเครดิตบูโร หนี้สินก็รุงรัง ทำอย่างไรจะให้ลูกมีทักษะทางวิชาการ วิชาชีพ โดยที่ประหยัดค่าเรียนพิเศษหลายๆ วิชาไปก่อน
นี่จึงเกิดแนวคิด Low Cost Student — ใช้หนังสือมาช่วยสอนลูกเอง เลือกสรรสิ่งที่ดีสำหรับวัยและความสนใจของลูก ไม่ใช่ Homeschool เต็มรูปแบบ แต่เป็นการอ่านไปด้วยกัน บางอย่างที่เด็กไม่เข้าใจ พ่อแม่สามารถอธิบาย ช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้แบบไม่เครียด อยากเรียนอยากศึกษาเรื่องอะไร จะทำกีตาร์เหรอ ก็ซื้อหนังสือมานั่งอ่านนั่งหัดทำกัน เป็นต้น คือปลายทางอาจจะไม่ใช่ผลงานรูปธรรมที่จับต้องได้ แต่เป็นเหมือนกับการได้ How to ได้ทดลองทำอะไรที่อยากทำด้วยตนเอง จะได้เรียนรู้ว่าเจอข้อจำกัดอะไรบ้าง เจอปัญหาอะไร จะมีวิธีแก้อย่างไร พอแก้ได้ ก็จะได้ความมั่นใจ ได้วิธีคิดที่จะนำไปใช้ไปต่อยอดกับการใช้ชีวิตว่าทุกอย่างมีทางออก มีวิธีการแก้ปัญหาเสมอ
เริ่มจากสิ่งใกล้ตัว: วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
สิ่งที่น่าจะสอนลูกตั้งแต่เล็ก ๆ คือ เรื่องรอบตัวในชีวิตประจำวัน ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
- ตัวอย่าง: เด็ก ๆ มักสงสัยว่า “ทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีฟ้า?” หรือ “ทำไมเวลาต้มน้ำถึงเกิดฟอง?” น้ำยาล้างจานออกไม่หมดหรือเปล่าคะ?
- Fact วิทยาศาสตร์: สีฟ้าเกิดจากการกระเจิงของแสงอาทิตย์ในชั้นบรรยากาศ (Rayleigh scattering)
- การตอบคำถามเหล่านี้ช่วยให้เด็กเข้าใจโลกและมีความมั่นใจในการหาคำตอบด้วยตัวเอง
ทำไมปะป๊าชอบดื่มกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลคะ ไม่ขมหรือค่ะ ? อ่อ พอดีป๊าเป็นคนอ่อนหวานค่ะลูก }}}
ไม่ต้องบังคับให้เด็กถาม พอเขาอยากรู้ก็ถามเอง แต่พ่อแม่สามารถหาเรื่องสนุก ๆ ชวนคุยหรือทดลองไปพร้อมกัน
ตัวอย่างกิจกรรมง่าย ๆ จากชีวิตประจำวัน
- สังเกตการเปลี่ยนแปลงของน้ำ
- ขณะต้มน้ำเพื่อทำชา เด็กอาจถามว่า “ทำไมไอน้ำลอยขึ้นมา?”
- เป็นโอกาสอธิบายเรื่อง การเปลี่ยนสถานะของน้ำ จากของเหลวเป็นแก๊ส
- เลือกหนังสือที่มีภาพประกอบสวยและเนื้อหากระชับ เด็กเข้าใจง่ายและสนุก
- ทำไมคุณพ่อถึงดื่มกาแฟดำค่ะ ทำไมไม่เติมน้ำตาลเพิ่มความหวาน ไม่ขมเหรอค่ะ อ่อ ก็เพราะว่าพ่อเป็นคนอ่อนหวานจ้าา…
- สังเกตพฤติกรรมสัตว์เลี้ยง
- ถ้าเด็กชอบสุนัขหรือแมว จะเห็นคำถามเช่น “ทำไมแมวชอบนอนกลางวัน?”
- หนังสือเกี่ยวกับ ชีววิทยาพื้นฐานและพฤติกรรมสัตว์ จะช่วยให้เด็กเข้าใจธรรมชาติรอบตัว
- ทดลองวิทยาศาสตร์ง่าย ๆ ที่บ้าน
- ทำภูเขาไฟจำลองจากเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู
- ปลูกต้นไม้ในขวดแก้ว (Terrarium)
- เลือกหนังสือที่สอน การทดลองวิทยาศาสตร์พื้นฐาน พร้อมวิธีสังเกตผล เด็กจะเรียนรู้สนุก ปลอดภัย และเกิดแรงบันดาลใจ
ทำไมควรซื้อ Encyclopedia สำหรับเด็ก
การลงทุนในหนังสือ Encyclopedia สำหรับเด็ก :
แต่ที่แนะนำแล้วคุ้มค่าคือซื้อหนังสือ Encyclopedia สำหรับเด็ก เพราะจะมีรูปภาพประกอบน่าสนใจ เด็ก ๆ ก็ได้ดูรูป อ่านออกไม่ออกไม่เป็นไร มีรูปตื่นตาตื่นใจเยอะแยะ พอโตมาหน่อยก็เอามาใช้ฝึกอ่านเนื้อหาข้อความ เจอคำศัพท์ ได้คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ ได้ท่องศัพท์แบบที่ไม่ต้องท่อง เพราะจะเจอศัพท์เดิมๆ อยู่บ่อยครั้ง ได้คุ้นเคยกับโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ คือเล่มเดียวสอนได้ทั้งวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษและศิลปะ แถมความรู้รอบตัวอีกมากมายที่เกิดขึ้นในบทสนทนาระหว่างพ่อแม่กับลูก
ที่แนะนำแล้วคุ้มค่าคือซื้อหนังสือ Encyclopedia สำหรับเด็ก เพราะจะมีรูปภาพประกอบน่าสนใจเยอะมาก เด็ก ๆ ก็ได้ดูรูป อ่านออกไม่ออกไม่เป็นไร มีรูปตื่นตาตื่นใจให้ได้สังเกตจากรูปไปก่อน พอโตมาหน่อยก็เอามาใช้ฝึกอ่านเนื้อหา ข้อความต่าง ๆ หัดอ่านออกเสียง เจอคำศัพท์ ได้คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ ได้ท่องศัพท์แบบที่ไม่ต้องท่อง เพราะจะเจอศัพท์เดิมๆ อยู่บ่อยครั้ง ได้คุ้นเคยกับโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ คือเล่มเดียวสอนได้ทั้งวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษและศิลปะ แถมความรู้รอบตัวอีกมากมายที่เกิดขึ้นในบทสนทนาระหว่างพ่อแม่กับลูก
💡 Fact: การอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อายุ 3–7 ปี จะช่วยกระตุ้นสมองส่วน Prefrontal Cortex ที่เกี่ยวกับการวางแผน การคิดเชิงเหตุผล และการแก้ปัญหา — งานวิจัยจาก University of Cambridge พบว่าเด็กที่มีสมาธิอ่านหนังสือในวัยนี้ มีทักษะการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าเด็กทั่วไปประมาณ 20%
- มีรูปภาพประกอบตื่นตาตื่นใจ
- ช่วยเด็ก ๆ เริ่มอ่านเนื้อหาข้อความ ฝึกศัพท์ภาษาอังกฤษไปพร้อมกัน
- สะสมความรู้รอบตัวที่เกิดขึ้นจากบทสนทนาระหว่างพ่อแม่กับลูก
- พอเด็กโตขึ้น สามารถฝึกอ่านและทำความเข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์, ภาษาอังกฤษ และศิลปะได้ครบในเล่มเดียว
หลักการก็คือ
- เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวและสิ่งที่เด็กสนใจ
- เลือกหนังสือที่เหมาะกับวัย: ไม่ง่ายเกินไป ไม่น่าเบื่อ
- สอดแทรกกิจกรรมทดลองและการสังเกตชีวิตประจำวัน
- Encyclopedia สำหรับเด็กคือการลงทุนที่คุ้มค่า
- อ่านไปด้วยกัน ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก
การเลือกหนังสือที่ดี ไม่เพียงแค่สอนวิทยาศาสตร์ แต่ยังสอน ความคิดวิเคราะห์ ความอยากรู้อยากเห็น และสร้างความมั่นใจให้เด็ก ให้พร้อมสำหรับการเรียนรู้ต่อไป
การเลือกหนังสือวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมกับวัยและความสนใจของลูกเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างสนุกสนานและไม่เครียด อย่าลืมเลือกหนังสือที่มีเนื้อหากระชับ ภาพประกอบสวยงาม และเน้นการทดลองหรือกิจกรรม เพื่อเสริมสร้างความสนใจและความเข้าใจในวิทยาศาสตร์ของเด็ก ๆ
หากคุณกำลังมองหาหนังสือวิทยาศาสตร์คุณภาพสำหรับลูก สามารถใช้บริการฝากสั่งซื้อได้ที่ Herothailand.com ซึ่งรับสหนังสือหลากหลายประเภทที่เหมาะสมกับวัยและความสนใจของเด็ก ๆ พร้อมบริการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ
แนะนำ 10 หนังสือวิทย์สำหรับเด็กจาก Amazon
“My First Book of Planets: All About the Solar System for Kids Hardcover“: หนังสือที่พาเด็ก ๆ ไปสำรวจระบบสุริยะและดาวเคราะห์ต่าง ๆ
“The Magic School Bus” Series: ชุดหนังสือที่ผสมผสานการผจญภัยกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เหมาะสำหรับเด็กวัย 5-10 ปี
“National Geographic Little Kids First Big Book of Why“: หนังสือที่ตอบคำถามยอดฮิตของเด็ก ๆ เช่น “ทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีฟ้า?”
“Ada Twist, Scientist“: เรื่องราวของเด็กหญิงที่รักการทดลองและตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว
“The Cat in the Hat Learning Library“: หนังสือที่ใช้ตัวละครจาก Dr. Seuss เพื่อสอนวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
“The Way Things Work Now“: หนังสือที่อธิบายการทำงานของเครื่องจักรและเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
“The Human Body Book“: หนังสือที่อธิบายโครงสร้างและการทำงานของร่างกายมนุษย์
“The Everything Kids’ Science Experiments Book“: รวมกิจกรรมทดลองวิทยาศาสตร์ง่าย ๆ ที่สามารถทำที่บ้านได้
“The Wonders of Nature“: หนังสือที่สำรวจความมหัศจรรย์ของธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ

