back to top

ชนชั้น ความมั่งคั่งและวิกฤต

Listen to this article

อิสรภาพของความมั่งคั่ง: เมื่อการตลาดสร้างความต้องการ

George Kern ซีอีโอของ Breitling ผู้ผลิตนาฬิกาหรูชื่อดัง ได้กล่าวว่า “ความมั่งคั่งคืออิสรภาพ” เพราะมันเปิดโอกาสให้คนไม่ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดใด ๆ เขายอมรับตรงไปตรงมาว่าสินค้าของเขา “ซ้ำซ้อน” เพราะในยุคที่โทรศัพท์มือถือบอกเวลาได้ทุกวินาที ไม่มีใครจำเป็นต้องซื้อนาฬิกาอีกต่อไป แต่ธุรกิจกลับ “สร้างความต้องการ” ขึ้นมาเองด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างแยบยล

ทัศนคติของ Kern สะท้อนแนวคิดของชนชั้นผู้มั่งคั่งยุคใหม่ที่มองความสำเร็จเป็นเกมการแข่งขัน และเห็นว่าการลดหย่อนภาษีให้ภาคธุรกิจเป็นสิ่งยุติธรรม เพราะพวกเขาคือ “ผู้รับความเสี่ยง” ที่สร้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่คำถามคือ ความเสี่ยงนั้นเท่ากับ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” จริงหรือ?

ช่องว่างที่ขยายตัว: เมื่อครึ่งประเทศถือครองเพียงเศษเสี้ยวของความมั่งคั่ง

Marcus Grabar นักวิจัยด้านความมั่งคั่งเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรเยอรมนีถือครองทรัพย์สินเพียง 2.3% ของความมั่งคั่งทั้งหมด ขณะที่กลุ่มบนสุดเพียง 0.1% ถือครองมากถึง 20% และส่วนใหญ่ของความมั่งคั่งนั้นอยู่ในรูปของสินทรัพย์ทางธุรกิจ ไม่ใช่เงินออมในบัญชีธนาคาร

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ระบบภาษีในเยอรมนีเอื้อประโยชน์ต่อผู้ที่มีทุนมากกว่าแรงงาน รายได้จากการทำงานถูกเก็บภาษีสูงสุดถึง 45% ในขณะที่รายได้จากทุน เช่น หุ้น หรือเงินปันผล ถูกเก็บเพียง 25% เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวร่ำรวยยังสามารถโอนทรัพย์สินหลายล้านยูโรให้บุตรหลานโดยไม่เสียภาษีมรดก โดยคู่รักหนึ่งคู่สามารถยกทรัพย์สินมูลค่า 800,000 ยูโรให้ลูกได้ทุก 10 ปีแบบปลอดภาษี ซึ่งหมายความว่า เด็กวัย 20 ปีในตระกูลมหาเศรษฐีอาจได้รับทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2.4 ล้านยูโรโดยไม่ต้องทำงานเลย ในขณะที่แรงงานทั่วไปต้องใช้เวลาเก็บเงินถึง 670 ปีจึงจะได้จำนวนเดียวกัน

ปรากฏการณ์นี้ทำให้ระบบเศรษฐกิจกลายเป็น “วงจรแห่งอภิสิทธิ์” ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น คนที่เกิดมาในครอบครัวร่ำรวยเริ่มชีวิตด้วยแต้มต่อมหาศาล ขณะที่คนทำงานกลับต้องจ่ายภาษีเพื่อสนับสนุนระบบที่ไม่เคยให้โอกาสเขาเท่ากัน

โรงเรียนประจำสุดหรู Schule Schloss Salem ที่ทะเลสาบคอนสแตนซ์ ซึ่งมีค่าเล่าเรียนราว 40,000 ยูโรต่อเดือน หรือเกือบเท่าค่าแรงเฉลี่ยทั้งปีของคนเยอรมัน โรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานศึกษา แต่คือ “สนามฝึกผู้นำในอนาคต” ที่สอนเรื่องความกล้าหาญ ความรับผิดชอบ และที่สำคัญที่สุดคือ “การสร้างเครือข่าย”

ข้อมูลล่าสุดของสหภาพยุโรปชี้ว่า เด็กที่เติบโตในครอบครัวชนชั้นสูงมีโอกาสเข้าสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำมากกว่าคนทั่วไปถึง 7 เท่า และรายได้เฉลี่ยตลอดชีวิตสูงกว่าชนชั้นแรงงานถึง สองเท่า การศึกษาในระบบเช่นนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือพัฒนา “ศักยภาพ” หากแต่กลายเป็น “เครื่องมือรักษาอำนาจทางสังคม” อย่างแนบเนียน

มีเสียงเรียกร้องให้เยอรมนีฟื้นภาษีความมั่งคั่ง การยกเลิกภาษีนี้ตั้งแต่ปี 1997 ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปกว่า 380,000 ล้านยูโร และส่งผลให้โรงเรียน โรงพยาบาล และโครงสร้างพื้นฐานของรัฐทรุดโทรมลงอย่างชัดเจน

พรรค Social Democrat Party (SPD) ของเยอรมนีเคยผลักดันให้มีการปรับภาษีให้คนส่วนใหญ่จ่ายน้อยลง โดยเพิ่มภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินจากกลุ่มมั่งคั่ง แต่แนวคิดนี้กลับไม่เคยเป็นจริง เพราะแรงต่อต้านจากกลุ่มล็อบบี้ของคนรวยที่ทรงอิทธิพลในเชิงการเมือง ทำให้ระบบที่ไม่เท่าเทียมนี้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างมั่นคง

Billionaire💲Luxury Lifestyle Visualization💰 Life Of Billionaires

ทางออกระดับโลก: ภาษีความมั่งคั่งขั้นต่ำ

เพื่อตอบสนองต่อความไม่เท่าเทียมที่พุ่งสูงขึ้น นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำเสนอแนวคิด “ภาษีความมั่งคั่งขั้นต่ำระดับโลก” ที่กำหนดให้มหาเศรษฐีทั่วโลก (ผู้มีทรัพย์สินเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์) จ่ายภาษีอย่างน้อยปีละ 2% หากนโยบายนี้ถูกนำไปใช้จริง จะสร้างรายได้ทั่วโลกมากกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเพียงพอสำหรับยุติความหิวโหยทั่วโลกและเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษาในประเทศยากจน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือ การบังคับใช้กฎหมายในโลกที่เงินทุนสามารถย้ายข้ามพรมแดนได้ง่ายดาย จำเป็นต้องมีระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินระหว่างประเทศ และความร่วมมือในระดับ G20 ซึ่งเริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยเยอรมนี บราซิล สเปน และแอฟริกาใต้เป็นกลุ่มประเทศแรกที่ผลักดันนโยบายนี้

………… ………………………… …………

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกเติบโตจากเทคโนโลยีและการลงทุน แต่ความเหลื่อมล้ำกลับพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ประเด็นเรื่อง “ความรับผิดชอบของคนรวย” จึงไม่ใช่เพียงคำถามเชิงศีลธรรม แต่เป็นคำถามแห่งอนาคตของสังคม

ความมั่งคั่งไม่ใช่สิ่งผิด หากแต่การใช้มันโดยไม่คำนึงถึงส่วนรวมต่างหากที่บั่นทอนโครงสร้างของประเทศ เมื่อคนบางกลุ่มมีมากเกินไป ขณะที่คนส่วนใหญ่แทบไม่เหลืออะไร เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและประชาธิปไตยย่อมสั่นคลอน

…………. …………………………………

โลกแห่งอภิสิทธิ์และช่องว่างภาษี: มหาเศรษฐีทั่วโลกจ่ายน้อยกว่าชนชั้นกลางได้อย่างไร

ปรากฏการณ์ระดับโลกที่ชนชั้นอภิสิทธิ์และมหาเศรษฐีสามารถสะสมความมั่งคั่งได้ในอัตราที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ช่องโหว่ทางภาษีเพื่อหลีกเลี่ยงภาระทางสังคม ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมที่ขยายตัวมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

1. ความเหลื่อมล้ำระดับโลกที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

เช่นเดียวกับในเยอรมนี ข้อมูลทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มคนรวยที่สุดอย่างรุนแรง ในสหรัฐอเมริกา ข้อมูลตั้งแต่ปี 1980 ชี้ให้เห็นว่าความมั่งคั่งได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดย 1% ของคนรวยที่สุดถือครองทรัพย์สินเกือบ 40%

ในระดับโลก รายงานระบุว่าความมั่งคั่งของกลุ่มคนร่ำรวยที่สุด 0.0001% (ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณ 3,000 ครัวเรือน) ได้เติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเพิ่มจาก 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของโลกในปี 1987 เป็น กว่า 13% ภายในปี 2024 การเติบโตนี้เกิดขึ้นแม้ในช่วงเวลาที่ประชากรโลกส่วนใหญ่เผชิญกับวิกฤตความหิวโหย ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความยากจนที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี

2. ระบบภาษีถดถอย: รายได้จากทุนถูกยกเว้น

ประเด็นสำคัญที่พบทั่วโลกคือ ระบบภาษีที่ออกแบบมาอย่างมีอภิสิทธิ์ ซึ่งจัดเก็บภาษีจากรายได้ที่มาจาก “แรงงาน” (เงินเดือน ค่าจ้าง) ในอัตราที่สูงกว่ารายได้ที่มาจาก “ทุน” (หุ้น เงินปันผล และกำไรจากการลงทุน)

รายงานการตรวจสอบการหลีกเลี่ยงภาษีระดับโลกปี 2024 โดย EU Tax Observatory เปิดเผยว่า มหาเศรษฐีทั่วโลกสามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทางภาษีจำนวนมากเพื่อให้จ่ายภาษีเงินได้ที่มีผลจริงต่อความมั่งคั่งรวมของพวกเขาในอัตราที่ต่ำมาก หรือแทบไม่จ่ายเลย โดยอยู่ในช่วงเพียง 0% ถึง 0.5% เท่านั้น ในขณะที่ภาระทางภาษีส่วนใหญ่ (กว่า 80% ของรายได้ภาษีในสหภาพยุโรป) ตกอยู่กับพลเมืองทั่วไป เช่น พยาบาลและครู

  • ตัวอย่างจากสหรัฐอเมริกา: บุคคลที่ร่ำรวยที่สุด 25 คนในสหรัฐฯ เผชิญกับอัตราภาษีเฉลี่ยที่มีผลจริงเพียง 3.25% ซึ่งต่ำกว่าอัตราภาษีที่ชนชั้นกลางส่วนใหญ่ต้องจ่าย

3. อำนาจการล็อบบี้และการแข่งขันทางภาษี

การที่คนรวยจ่ายภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าชนชั้นกลาง ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการตัดสินใจเชิงนโยบายในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ภายใต้แรงกดดันจาก องค์กรล็อบบี้ และการแข่งขันทางภาษีระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้แต่ละประเทศพยายาม “ลดแลกแจกแถม” ด้วยการตัดลดภาษีสำหรับคนรวยและองค์กรธุรกิจ

วิธีการที่คนรวยใช้เพื่อลดภาระภาษีนั้นมีทั้งที่ ถูกกฎหมาย และ ผิดกฎหมาย

  • การหลีกเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance): การย้ายเงินทุนข้ามพรมแดนไปยังเขตอำนาจศาลที่มีภาษีต่ำ (Tax Havens) หรือการใช้โครงสร้างทางกฎหมายพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (เช่น การย้ายถิ่นฐานเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี)
  • การหนีภาษี (Tax Evasion): การไม่รายงานรายได้ที่ได้รับจากบัญชีธนาคารนอกประเทศอย่างผิดกฎหมาย

4. การถ่ายทอดอภิสิทธิ์ผ่านการศึกษาและมรดก

แนวคิดของการถ่ายทอดอภิสิทธิ์ผ่าน มรดก และ เครือข่ายสังคม ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในระดับโลก ภาษีมรดกและภาษีของขวัญในหลายประเทศทั่วโลกยังมีช่องโหว่มากมาย การได้เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยมอบความได้เปรียบทางการเงินอย่างเป็นระบบ ซึ่งขยายช่องว่างทางโอกาสตลอดช่วงชีวิตของคนรุ่นใหม่

5. ข้อเสนอทางออก: การเก็บภาษีความมั่งคั่งระดับโลก

เนื่องจากปัญหาความไม่เท่าเทียมและการหลีกเลี่ยงภาษีเป็นปัญหาระดับโลก ทางออกจึงต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

  • ภาษีความมั่งคั่งขั้นต่ำ (Global Minimum Wealth Tax): นักเศรษฐศาสตร์อย่าง Gabriel Zucman เสนอให้มีการเก็บภาษีความมั่งคั่งขั้นต่ำในอัตรา 2% ต่อปีสำหรับมหาเศรษฐีทั่วโลก (ผู้ที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
  • การผลักดันจาก G20: ในการประชุมรัฐมนตรีคลัง G20 เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข้อเสนอร่วมจาก 4 ประเทศ (ได้แก่ บราซิล สเปน แอฟริกาใต้ และเยอรมนี) เพื่อแนะนำให้มีการเก็บภาษีความมั่งคั่งในอัตรา 2% จากกลุ่มมหาเศรษฐีโลกกว่า 3,000 คน การเก็บภาษี 2% จากมหาเศรษฐี 499 คนในยุโรปเพียงกลุ่มเดียว ก็สามารถสร้างรายได้ได้ถึงกว่า 45.3 พันล้านยูโร

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศในกลุ่ม OECD ที่ยังคงเรียกเก็บภาษีความมั่งคั่งสุทธิ ได้แก่ โคลอมเบีย นอร์เวย์ สเปน และสวิตเซอร์แลนด์ ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในการบรรลุข้อตกลงระดับโลกคือความง่ายในการย้ายความมั่งคั่งข้ามพรมแดน ซึ่งจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินระหว่างประเทศโดยอัตโนมัติ เพื่อให้มาตรการทางภาษีนี้มีผลบังคับใช้ได้อย่างแท้จริง

…………………………….

Decoding the Common Prosperity: What is China’s common prosperity? Why Zhejiang?

จีนกับ “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”: การตีความใหม่ของความเท่าเทียม

ในอีกด้านหนึ่งของโลก จีนซึ่งปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์กลับเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรงไม่แพ้ตะวันตก ชนชั้นรวย 10% ของประเทศถือครองทรัพย์สินมากกว่า 67% ของทั้งหมด ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกา และสูงกว่าหลายประเทศในยุโรป

ชนชั้นล่าง: ในขณะที่จีนสร้างมหาเศรษฐีสองคนต่อสัปดาห์ในปี 2017 แต่ประชาชนอีก 600 ล้านคนกลับมีรายได้ต่อเดือนเพียงประมาณ 1,000 หยวน (ประมาณ 5,000 บาท) ซึ่งไม่พอแม้แต่จะเช่าห้องพักในเมืองใหญ่ของจีน

ความเหลื่อมล้ำที่มากเกินไปนี้ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อ ความมั่นคงทางสังคม และ รากฐานการปกครองของพรรค ทำให้ในปี 2021 พรรคคอมมิวนิสต์จึงได้ผลักดันวาระ “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” (Common Prosperity) ขึ้นมาอย่างจริงจัง

รัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จึงประกาศนโยบาย “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” เพื่อลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ผ่านการควบคุมรายได้ที่สูงเกินไป การปราบปรามทุนผูกขาด และการส่งเสริมให้ภาคเอกชนบริจาคคืนสู่สังคม ในปีเดียวกันนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนกว่า 100 แห่งประกาศบริจาคเงินรวมกันมากกว่า 300,000 ล้านหยวน เพื่อสนับสนุนนโยบายนี้

วาระ “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” ไม่ได้หมายถึงการกลับไปสู่ระบบสังคมนิยมที่เท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์แบบ แต่มีเป้าหมายเพื่อสร้างโครงสร้างการกระจายรายได้แบบ “รูปทรงมะกอก” (มีชนชั้นกลางจำนวนมาก) ผ่านการควบคุมสิ่งที่เรียกว่า “การขยายตัวของทุนอย่างไร้ระเบียบ” มาตรการหลักมุ่งเน้นไปที่การจัดสรรความมั่งคั่งใหม่ โดยไม่เน้นการจัดเก็บภาษีทรัพย์สิน (Wealth Tax) ในรูปแบบตะวันตกเท่าใดนัก แต่เน้นไปที่การควบคุมและการบังคับใช้

แต่ในขณะเดียวกัน การควบคุมอย่างเข้มงวดของพรรคก็ทำให้เกิดคำถามใหม่ว่า ความเท่าเทียมที่เกิดจาก “อำนาจรัฐ” จะยั่งยืนได้เพียงใด หากปราศจากเสรีภาพทางเศรษฐกิจ

อำนาจนำของพรรค: จุดแตกต่างจากตะวันตก

ความสัมพันธ์ระหว่างมหาเศรษฐีกับอำนาจรัฐในจีนแตกต่างจากตะวันตกอย่างสิ้นเชิง ในประเทศตะวันตก กลุ่มมหาเศรษฐีใช้เงินและทุนในการล็อบบี้เพื่อกำหนดนโยบาย (อำนาจอิทธิพล) ในขณะที่จีน พรรคคอมมิวนิสต์ใช้อำนาจทางการเมืองในการ ควบคุม กลุ่มทุน

บทบาทของพรรค: พรรคคอมมิวนิสต์ยังคงยืนยันว่าพรรคทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นแรงงาน และ จำกัด สิ่งที่ชนชั้นนายทุนสามารถทำได้ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันไม่ให้ทุนเอกชนมีอิทธิพลต่อการเมืองได้มากเท่ากับในระบบตะวันตก

การเข้าสู่การเมือง: อัตราการที่มหาเศรษฐีจีนเข้าสู่เวทีการเมืองโดยตรง (เช่น ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) นั้น สูงที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับประเทศที่มีมหาเศรษฐีจำนวนมาก การเข้าร่วมนี้ถูกมองว่าเป็น ข้อกำหนด เพื่อให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมและกฎระเบียบที่เข้มงวดของพรรค

ความผันผวนของความมั่งคั่ง: ในขณะที่มหาเศรษฐีในระบอบประชาธิปไตยมักจะได้รับความคุ้มครองจากความมั่นคงทางกฎหมาย แต่ในจีน ความมั่งคั่งของชนชั้นนำกลับมีความ ผันผวนสูงมาก มหาเศรษฐีที่เคยยิ่งใหญ่สามารถ ถูกจำคุก ถูกบังคับให้คืนทรัพย์สิน หรือ หายตัวไป ชั่วข้ามคืน หากพวกเขาไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์และจุดมุ่งหมายของพรรค

ประเทศจีนกำลังใช้การควบคุมจากส่วนกลางเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเผชิญอยู่ แต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างเด็ดขาด ในขณะที่ประเทศประชาธิปไตยต่อสู้กับอิทธิพลของกลุ่มล็อบบี้ที่มีต่อกฎหมายและภาษี ประเทศจีนกำลังต่อสู้กับปัญหาเดียวกันนี้ผ่านการแสดงอำนาจทางการเมืองอย่างเด็ดขาด โดยชี้ให้เห็นว่าในจีน อำนาจทางการเมืองยังคงอยู่เหนืออำนาจของทุน และความอยู่รอดของกลุ่มมหาเศรษฐีขึ้นอยู่กับการยอมรับความชอบธรรมและการควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์

เมื่อทราบถึงบริบททั้งทางซีกโลกตะวันตกและซีกโลกตะวันออกแล้ว คนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้น พวกเขาจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง

สำหรับคำถามที่ว่า “คนรุ่นใหม่จะสบายขึ้นไหมหรือลำบากยิ่งกว่าเดิม” คือ สำหรับคนส่วนใหญ่ เส้นทางชีวิตมีแนวโน้มที่จะลำบากและเต็มไปด้วยความท้าทายมากกว่าคนรุ่นก่อน เนื่องจากการกระจุกตัวของความมั่งคั่งและอิทธิพลได้สร้าง อุปสรรคเชิงโครงสร้าง ที่ยากต่อการเอาชนะด้วยความสามารถเพียงอย่างเดียว

…………………..

Trump ‘shown more disregard’ for economic well-being of young people than any president: Elson

ประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำและอภิสิทธิ์ทั่วโลก จะส่งผลกระทบต่อคนรุ่นใหม่อย่างน้อย 3 ด้านหลัก ดังนี้:

1. ภาระทางเศรษฐกิจและสังคมที่สืบทอด (Inherited Economic Burden)

ปัญหาการเลี่ยงภาษีและช่องโหว่ทางกฎหมายของกลุ่มมหาเศรษฐีทั่วโลก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของคนรุ่นใหม่ในทุกประเทศ (ยกเว้นในกลุ่มคนที่ได้รับอภิสิทธิ์แต่กำเนิด)

การขาดแคลนงบประมาณสาธารณะ

เมื่อกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุดจ่ายภาษีในอัตราที่ต่ำมาก (บางครั้งเพียง 0% ถึง 0.5% ของความมั่งคั่งรวม) รัฐบาลก็สูญเสียรายได้หลายแสนล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือยูโรที่ควรจะนำไปใช้ในการลงทุนเพื่อสังคม ผลที่ตามมาคือ:

  • การศึกษาและสาธารณสุข: ระบบโรงเรียนของรัฐ โรงพยาบาล และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ขาดแคลนเงินทุน ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวกเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายสูง
  • ภาระหนี้สาธารณะ: เพื่อรักษาระบบบริการสาธารณะไว้ รัฐบาลมักต้องกู้ยืมเงิน ซึ่งหมายความว่า หนี้สาธารณะจะถูกส่งต่อ ไปยังคนรุ่นใหม่ให้เป็นผู้รับผิดชอบและชำระคืน

ตลาดแรงงานและอสังหาริมทรัพย์ที่บิดเบือน

เนื่องจากรายได้จากทุน (การลงทุน) ถูกเก็บภาษีต่ำกว่ารายได้จากแรงงาน (เงินเดือน) จึงเกิดการจูงใจให้เงินทุนทำงานเพื่อตัวเอง ทำให้มูลค่าของสินทรัพย์ โดยเฉพาะ อสังหาริมทรัพย์ พุ่งสูงขึ้น คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จึงต้องเผชิญกับ:

  • ค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด: ทำให้การซื้อบ้านหรือการเริ่มต้นชีวิตใหม่กลายเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่คนรุ่นพ่อแม่เคยเจออย่างมาก
  • ค่าแรงที่ซบเซา: แม้จะมีความสามารถหรือมีการศึกษาสูง แต่รายได้จากการทำงาน (Labor Income) กลับเติบโตช้ากว่าผลตอบแทนจากทุน (Capital Returns) อย่างเห็นได้ชัด

2.การล่มสลายของ “ระบบคุณธรรม” (The End of Meritocracy)

ในโลกที่ความมั่งคั่งกระจุกตัว การ “ทำงานหนัก” เพียงอย่างเดียวไม่อาจนำไปสู่ความสำเร็จได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพลังของ อภิสิทธิ์ที่สืบทอดมา

พลังของ “เกิดมารวย” (The Birth Lottery)

เด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยจะได้รับความได้เปรียบเชิงระบบตั้งแต่วินาทีแรกของชีวิต:

  • การศึกษาชนชั้นนำ: การเข้าถึงโรงเรียนประจำหรือสถาบันการศึกษาเอกชนชั้นนำ ไม่ได้มอบเพียงแค่ความรู้ แต่ยังมอบ เครือข่ายสังคม (Networks) ที่มีอำนาจและอิทธิพล เครือข่ายเหล่านี้เป็นเสมือน “ทางลัด” ที่ทำให้เข้าถึงโอกาสทางธุรกิจหรือตำแหน่งงานได้ง่ายกว่าผู้ที่เรียนจบจากระบบสาธารณะ
  • การส่งต่อความมั่งคั่งปลอดภาษี: กลไกการโอนเงินและมรดกที่มีช่องโหว่ทางภาษี ทำให้เงินจำนวนมหาศาลถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นโดยไม่ต้องรับภาระทางสังคมใด ๆ ซึ่งทำให้ลูกหลานของคนรวยเริ่มต้นชีวิตด้วยความมั่งคั่งที่คนชั้นกลางต้องใช้เวลา หลายร้อยปี ในการเก็บสะสม

ดังนั้น สำหรับคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ ความสามารถและความขยันจะมีความสำคัญลดลงเมื่อเทียบกับพลังของ ทุนตั้งต้นและคอนเนกชัน ที่ได้รับมาตั้งแต่เกิด

3. ความหวังและการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ

แม้สถานการณ์จะดูมืดมน แต่คนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้สิ้นหวัง พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับความไม่เท่าเทียมในรูปแบบใหม่ และเริ่มสร้างแรงกดดันต่อระบบ คนรุ่นใหม่มีความตระหนักรู้ต่อความไม่ยุติธรรมและปัญหาที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุนอย่างชัดเจน

  • การเรียกร้องนโยบาย: มีการเรียกร้องให้มีการ เก็บภาษีความมั่งคั่งระดับโลก อย่างจริงจัง เพื่อนำเงินทุนไปแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และปัญหาสังคม
  • การตั้งคำถามต่อระบอบประชาธิปไตย: คนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามต่อระบบการเมืองที่ “ผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งปฏิเสธที่จะดำเนินการ” ตามความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ ในขณะที่กลุ่มล็อบบี้ของคนรวยมีอำนาจเหนือการตัดสินใจ
The Current Situation of Japan’s Low-Desire Society Young People Don’t Date, Buy Homes, or Work Hard

บทเรียนจากจีน (Model of State Intervention)

ในบริบทของจีน นโยบาย “Common Prosperity” แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลที่มีอำนาจรวมศูนย์สามารถแทรกแซงและควบคุมอำนาจของกลุ่มทุนได้ เพื่อป้องกันความไม่สงบทางสังคม แม้ว่าการดำเนินการนี้จะมาพร้อมกับความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ก็เป็นโมเดลที่แสดงให้เห็นว่า การกระจายความมั่งคั่งสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีเจตจำนงทางการเมืองที่เข้มแข็ง

คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่กำลังก้าวเข้าสู่โลกที่ ยากลำบากยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากอภิสิทธิ์ถูกสืบทอดอย่างเป็นระบบ โอกาสในการไต่เต้าทางสังคม ผ่านความสามารถลดลง และ ภาระทางการเงินสาธารณะ เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เป็นคนรุ่นที่มี เครื่องมือและความตระหนักรู้ มากที่สุดในการเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูประบบภาษีและโครงสร้างเศรษฐกิจโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อาชีพที่คนรุ่นใหม่ต้องพึ่งพาเพื่อ “หายใจหายคออยู่รอด” ได้นั้น จะต้องเป็นอาชีพที่มุ่งเน้นไปที่ ความยั่งยืนในระดับท้องถิ่น, การประหยัดสูงสุด และการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นทักษะที่โลกที่ทุนนิยมสุดโต่งและระบบรัฐที่ขาดงบประมาณไม่อาจจัดหาให้ได้ง่าย ๆ

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

  • ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น: ความเหลื่อมล้ำทำให้ การศึกษาและการรักษาพยาบาล กลายเป็นสินค้าที่มีคุณภาพแตกต่างกันอย่างชัดเจน ครอบครัวชนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อยจึงต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล เพื่อให้บุตรหลานของตนสามารถแข่งขันกับลูกหลานของชนชั้นสูงได้
  • ความไม่มั่นคง: ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ (เช่น ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น) เป็นปัจจัยสำคัญที่ ยับยั้งอัตราการเกิด และผลักดันให้คนเลื่อนการมีบุตรออกไป
  • การขาดสวัสดิการ: การขาดการสนับสนุนจากรัฐและสังคม เช่น การขาดแคลนสถานเลี้ยงดูเด็กเล็กที่มีคุณภาพ ทำให้ผู้หญิงที่มีการศึกษาสูงตัดสินใจเป็นโสดหรือมีบุตรน้อยลง

ปัญหาความเหลื่อมล้ำทำให้อัตราการเกิดถูกผลักให้ต่ำลงสู่ระดับต่ำกว่า ระดับทดแทน (Replacement Rate) ในสองในสามของประชากรโลก ซึ่งจะนำไปสู่การที่ประชากรในหลายประเทศจะ ลดลง 20-50% ภายในศตวรรษนี้ การลดลงของประชากรและการเพิ่มขึ้นของการอพยพย้ายถิ่นฐาน (Migration) จะเป็นปัจจัยหลักในการเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานโลก ประชากรวัยทำงาน (อายุ 15-64 ปี) ลดลงอย่างมากในประเทศพัฒนาแล้วและในจีน ซึ่งจะนำไปสู่การ ขาดแคลนแรงงาน ในหลายภาคส่วน

แรงกดดันต่อผู้อพยพ: เพื่อชดเชยการขาดแคลนแรงงาน ประเทศที่เจริญแล้วจะพึ่งพาแรงงานผู้อพยพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้อพยพเหล่านี้มักจะเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและการขาดการคุ้มครองด้านแรงงานในประเทศปลายทาง

สมองไหลสีเขียวและวิกฤตความสามารถ (Green Brain Drain)

  • การเร่งสมองไหล: ความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงและโอกาสทางเศรษฐกิจที่จำกัดในประเทศกำลังพัฒนา จะทำให้ ผู้มีการศึกษาสูง อพยพออกไปยังประเทศที่มั่งคั่งมากขึ้น
  • สมองไหลจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ: ประเทศต้นทางมีความเสี่ยงที่จะประสบกับ “ภาวะสมองไหลสีเขียว” (Green Brain Drain) คือการสูญเสียบุคลากรที่มีทักษะสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (เช่น วิศวกรพลังงานหมุนเวียน หรือนักปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม) ซึ่งเป็นทักษะที่ประเทศเหล่านั้นต้องการมากที่สุดในการรับมือกับวิกฤต

การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมสังคมจากผู้อพยพ

การอพยพครั้งใหญ่ โดยเฉพาะที่เกิดจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Migration) และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ จะนำมาซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความตึงเครียดทางสังคม

  • ความหลากหลายทางสังคมที่เพิ่มขึ้น: ประเทศปลายทาง (Host Countries) จะต้องรับมือกับความหลากหลายทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม และภาษาที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมักจะนำมาซึ่ง ความตึงเครียดและความหวาดระแวง ระหว่างชุมชนเดิมกับผู้อพยพ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น
  • ความท้าทายในการเข้าถึงสิทธิ: ผู้อพยพจำนวนมากที่ย้ายถิ่นฐานเนื่องจากความไม่มั่นคงหรือภัยพิบัติ จะขาดสถานะทางกฎหมายที่ชัดเจน ทำให้พวกเขาเข้าถึงสิทธิและบริการพื้นฐานได้ยาก

การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมสองทาง (Cultural Convergence)

  • การส่งออกวัฒนธรรม: งานวิจัยบางส่วนชี้ว่า การอพยพย้ายถิ่นฐานอาจไม่ได้ทำให้วัฒนธรรมในประเทศปลายทางถูกคุกคามตามที่วาทกรรมประชานิยมกล่าวอ้าง หากแต่ผู้อพยพมีแนวโน้มที่จะ ส่งต่อวัฒนธรรมของประเทศปลายทาง กลับไปยังประเทศบ้านเกิดของตนผ่านการส่งเงิน (Remittances) หรือการกลับไปเยี่ยม ทำให้เกิด การบรรจบกันทางวัฒนธรรม (Cultural Convergence) โดยรวม

สรุปได้ว่า อิทธิพลของกลุ่มชนชั้นสูงต่อระบบเศรษฐกิจโลกกำลังสร้าง วิกฤตประชากร (Depopulation) ในประเทศที่เคยเติบโต และ วิกฤตความสามารถ (Skills Crisis) ในประเทศที่กำลังพัฒนา ผ่านปรากฏการณ์สมองไหล และกำลังก่อให้เกิดความท้าทายทางสังคมที่ซับซ้อนในประเทศปลายทางของการอพยพ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงเชื่อมโยงกันได้และเราก็มีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

ปิดท้ายด้วยแนะนำหนังสือที่น่าสนใจกันครับ

1.Capital in the Twenty-First Century by Thomas Piketty
เป็นหนังสือคลาสสิกที่ใช้ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ยาวนาน เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนจากทุน (r) มีแนวโน้มสูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (g) เสมอ ซึ่งเป็นรากฐานทางทฤษฎีของการกระจุกตัวของความมั่งคั่งตามที่บทความกล่าวถึง

2.The Triumph of Injustice: How the Rich Avoid Tax and How to Make Them Pay by Emmanuel Saez and Gabriel Zucman
ผู้เขียนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังข้อมูลและแนวคิด “ภาษีความมั่งคั่งขั้นต่ำระดับโลก” ที่ระบุในบทความ หนังสือเล่มนี้เผยให้เห็นอย่างละเอียดว่าชนชั้นนำใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายและนโยบายอย่างไรในการเลี่ยงภาษี และเสนอแนวทางปฏิบัติในการปฏิรูปภาษีให้เป็นธรรม

3.The Tyranny of Merit: What’s Become of the Common Good? by Michael J. Sandel
หนังสือที่วิพากษ์แนวคิด “ระบบคุณธรรม” อย่างรุนแรง โดยชี้ให้เห็นว่า การเน้นย้ำความสำเร็จส่วนบุคคลผ่าน Meritocracy นั้น ไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แต่กลับเป็นเครื่องมือที่ชอบธรรมในการรักษาและถ่ายทอดอภิสิทธิ์ของชนชั้นนำ (ผ่านการศึกษาและเครือข่าย) ซึ่งเชื่อมโยงกับเรื่องโรงเรียนประจำอย่าง Schule Schloss Salem ในบทความ

4.The Road Towards Common Prosperity by Huang Qunhui, Deng Quheng (Editors)
ให้มุมมองเชิงลึกจากฝั่งจีนเกี่ยวกับที่มา, จุดประสงค์, และการดำเนินการของนโยบาย Common Prosperity ซึ่งเป็นโมเดลที่แตกต่างจากตะวันตกในการจัดการกับความเหลื่อมล้ำ และเป็นหัวข้อสำคัญในบทความ

5.The Meritocracy Trap: How America’s Foundational Myth Feeds Inequality, Dismantles the Middle Class, and Devours the Elite by Daniel Markovits
นำเสนอข้อโต้แย้งที่คล้ายกับ Sandel แต่เน้นหนักไปที่ผลกระทบของ Meritocracy ต่อชนชั้นกลางและแม้แต่ชนชั้นนำเอง โดยวิเคราะห์ว่าทำไมรายได้จากแรงงาน (Labor Income) จึงเติบโตช้ากว่ารายได้จากทุน และ Elite ก็ต้องทำงานหนักอย่างไม่สิ้นสุด (Pitiless, Lifelong Contest) เพื่อรักษาสถานะ ซึ่งสะท้อนประเด็นที่คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญในบทความ

หากถูกใจบทความดังกล่าว สามารถกดไลค์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้กัน
ร่วมสนับสนุนการทำเนื้อหาได้ที่
SCB : ธนาคารไทยพาณิชย์
ชื่อบัญชี : HEROTHAILAND.COM บัญชี : ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี : 667-265599-4

Herothailand.com รับสั่งหนังสือต่างประเทศ สินค้าต่างประเทศ
พร้อมรับประกันการจัดส่งถึงบ้าน
ไม่ได้รับสินค้า ยินดีคืนเงินเต็ม 100%
Tel : 08-5464-1644