ในปี 2013 สำนักพิมพ์ Random House ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Bertelsmann บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่มีสำนักงานตั้งอยู่ในเยอรมันได้ร่วมทุนกับสำนักพิมพ์ Penguin ซึ่งเป็นบริษัทลูกของสำนักพิมพ์ Pearson ตั้งเป็นบริษัท Penguin Random House ขึ้นมาเพื่อให้กลายมาเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะเดียวกันก็เพื่อความอยู่รอดในภาวะที่สื่อสิ่งพิมพ์อยู่ในภาวะขาลงมานานหลายปี
และภายในเร็ว ๆ นี้ Bertelsmann จะซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดในส่วนของ Penguin จำนวน 25% และจะกลายเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ Penguin Random House แต่เพียงผู้เดียว ประจวบกับการที่ Pearson เจ้าของ Penguin พยายามลดสัดส่วนของสำนักพิมพ์ที่ไม่เกี่ยวกับวิชาการออกไป
ในแวดวงธุรกิจสำนักพิมพ์ก่อนหน้านั้นก็มีการเข้าซื้อกิจการสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ควบรวมกิจการกันเรื่อยมาเป็นเรื่องปกติ แต่สำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานหนึ่งในนั้นก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Penguin โดยสำนักพิมพ์ Penguin เองมีสำนักพิมพ์ย่อยอีกกว่า 300 แห่งหรือ 300 แบรนด์ โดยแต่ละแบรนด์ก็จะทำหนังสือเจาะกลุ่มลูกค้าต่างกันไป
ก็เหมือนกับค่ายรถยนต์หรูอย่าง Volkswagen Group ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ยี่ห้อ Volkswagen , Audi , Porche ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จับฐานลูกค้าแตกต่างกันออกไป
สำนักพิมพ์ Penguin เริ่มเปิดดำเนินการในทศวรรษที่ 1930 โดยพิมพ์หนังสือออกสู่ตลาดเน้นราคาถูกเพื่อให้เข้าถึงผู้คนจำนวนมาก

Sources : Wikipedia
Sir Allen Lane ผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ Penguin เป็นคนที่ชอบความท้าทาย เขาเป็นคนแรกในอังกฤษที่พิมพ์หนังสือของ เจมส์ จอยซ์ “Ulysses” ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก หรือต่อมาก็พิมพ์หนังสือของ D.H. Lawrence’s Lady Chatterley’s Lover ที่ไม่ผ่านการเซ็นเซอร์ ทั้งนี้ก็เป็นการทดสอบกฏหมายเซ็นเซอร์ของอังกฤษไปในตัว
ในปี 1934 หลังกลับจากการท่องเที่ยววันหยุดสุดสัปดาห์ที่บ้านของนักเขียนแนวสยองขวัญ อกาธา คริสตี เขาพบว่าไม่มีอะไรที่พอจะหาอ่านได้ ณ สถานีรถไฟในตอนนั้นก็มีเพียงนิตยสารและนิยายวิคตอเรียน ดังนั้นเขาจึงเกิดแนวคิดที่จะพิมพ์หนังสืองานวรรณกรรมระดับคุณภาพในราคาที่ย่อมเยา โดยจะนำไปวางขายตามร้านซักอบรีด หรือช่องทางจัดจำหน่ายที่แปลกใหม่ อย่างเช่นร้านขายบุหรี่ สถานีรถไฟ จากที่หนังสือต้องขายตามร้านหนังสือเท่านั้น โดย Sir Allen ตั้งราคาหนังสือไว้ค่อนข้างถูกมากโดยมีราคาไม่ต่างจากบุหรี่ไม่กี่มวน…ซึ่งการตั้งราคาหนังสือไว้ต่ำเช่นนี้ ทำให้นักเขียนอย่าง จอร์จ ออร์เวล ออกมาต่อต้านแนวคิดนี้เนื่องจากเขามองว่าการตั้งราคาดังกล่าวจะเป็นการบ่อนทำลายตลาดหนังสือในที่สุด
อย่างไรก็ดี แนวคิดดังกล่าวนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายปีก่อนหน้าบริษัทเยอรมันได้ก่อตั้ง Albatross Books ที่เมืองฮัมบูกร์ โดยมีแนวคิดเดียวกันว่าจะทำหนังสือวรรณกรรมชั้นดี ทำเป็นหนังสือปกอ่อน ราคาถูก
และไม่เพียงแค่ Sir Allen จะนำสัญลักษณ์นกมาเป็นชื่อและตราสินค้า หนังสือของเขาที่พิมพ์ออกมาก็จะมีสัดส่วนที่เรียกว่า golden ratio (อัตราส่วนเท่ากับ 1 : 1.618) ใช้ฟอนต์ตัวอักษรแบบ ซองเซอรีฟท์ รวมทั้งใช้ภาพขึ้นปกแทนที่จะใช้การโปรยปกด้วยตัวอักษรและใช้สีพื้น ๆ ตามหมวดหนังสืออย่างเดิม ๆ

sources : https://www.logodesignlove.com/
ไม่นานนักแนวคิดดังกล่าวของ Sir Allen ก็ได้รับการยอมรับและในที่สุดสำนักพิมพ์ต่าง ๆ บรรดานักเขียน ก็เห็นพ้องต้องกันในการขายลิขสิทธิ์ให้กับสำนักพิพม์ Penguin เพื่อทำหนังสือวรรณกรรมในราคาถูกออกมาขาย
ความสำเร็จที่สำนักพิมพ์ Penguin ได้กรุยทางให้เห็นนั้น ก็ได้มีสำนักพิมพ์อื่นนำมาเป็นแนวทาง อย่างสำนักพิมพ์ Pelican Books แต่จะตีพิมพ์หนังสือที่มีเนื้อหาเป็นสารคดี ไม่ใช่นวนิยาย แล้วก็มีสำนักพิมพ์ Puffin Books ที่เน้นทำหนังสือสำหรับเด็ก

…..
สำหรับ Bertelsmann Printing Group มีพนักงานทั่วโลกรวมกันกว่า 8,200 คน มีสำนักงานกระจายอยู่ทั่วภาคพื้นยุโรปและสหรัฐฯ กว่า 20 แห่ง มีรายรับต่อปีอยู่ที่ 60,000 ล้านบาทต่อปี