ถึงกรุงเทพฯ วันแรกยังไม่รู้จะทำอะไรดี พอดีที่เพื่อนกุ้งผู้ใจดีให้ที่พักพิงอาศัย รีบออกไปทำงานเกิดลืมแฮนดีไดรฟ์ไว้ที่ห้อง ก็เลยได้ออกเดินทางเสียที จากสุทธิสารมาหาเพื่อนยังสีลม หลังจากไม่ได้เข้ากรุงเทพฯเสียนาน เดี๋ยวนี้”หูฟังสีขาว” ของ Steve Job ทำหน้าที่เป็นเพื่อนให้กับผู้คนบนรถไฟฟ้าทั้งใต้ดิน ลอยฟ้า และบนท้องถนนไ้ด้เป็นอย่างดี รวมถึงเด็ก B-Boy ก็ถูกแซงด้วยเด็ก BB แบบเห็น ๆ
จากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสีลม เดินตรงมาเราก็จะเจอร้านเกี๊ยวปูหรือบะหมี่ เลยแวะกินอาหารเช้าที่นี่ ตอนเข้าไปกินนึกว่านั่งอยู่ท่ามกลางพายุ เพราะร้านนี้มีพัดลมอุตสาหกรรมเปิดระบายความร้อนสี่ห้าตัว
พอกินเสร็จ ก็เกิดคำถามว่าจะไปไหนต่อ ก็เลยขึ้นรถไฟฟ้าตรงสถานีศาลาแดงเพื่อจะไปสยาม ด้วยความงก ๆ เงิ่น ๆ ดันขึ้นรถไฟฟ้าผิดฝั่งอีก เลยได้ไปเที่ยวฝั่งธน ตอนไปเห็นมีควันดำลอยสูง ไม่รู้ว่าตรงผั่งธนเกิดไฟไหม้ที่ไหน
ที่สุดก็ได้ใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายอยู่ที่ Paragon ถือโอกาสไปดูหนังสือที่คิโนะ เอเชียบุ๊คส์ แล้วก็หาที่นั่งดื่มกาแฟ เพื่อรอเวลาให้ถึงห้าโมงเย็น เนื่องจากนัดกับเพื่อนทานข้าวเย็นกัน
ทานข้าวเย็นเสร็จก็ไม่รู้จะทำอะไรอีก ตัดสินใจเดินว่าจะไปเยาวราช หาอะไรกินกันอีก ปรากฏว่าแค่เดินมาจะขึ้นรถเมล์แถวไหนสักที่จำไม่ได้ ที่เดินเลียบศูนย์หนังสือจุฬาฯ มาแล้วเลี้ยวซ้าย เห็นคนยืนรอรถเมล์กันอยู่ก็แทบจะเป็นลม ทำไมเยอะแบบนี้….
สุดท้ายก็ได้มายืนอยู่บนรถเมล์ เจอน้อง รด. เป็นเด็ก ม.6 สองคนยืนคุยกันอยู่เรื่องการเลือกคณะเรียน ว่าจะเข้าคณะไหนดี เห็นน้องคุยกันอยู่นาน ก็เลยให้คำแนะนำไป ไหน ๆ ก็โหนรถเมล์อยู่ใกล้กันแล้วนี่
พอถึงเยาวราช ก็เดินหาอะไรกิน เดินไปเดินมาสักพัก ก็เหนื่อย หมดแรงเอาดื้อ ๆ ก็เลยแยกย้ายกันกับเพื่อนที่เยาวราช ราวสามทุ่ม

จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์ไปยังสถานีหัวลำโพง ต่อรถไฟฟ้าใต้ดินจากหัวลำโพงไปยังสุทธิสาร ต้นสถานีอากาศปลอดโปร่ง แต่ระหว่างทางกว่าจะถึงสุทธิสาร….. โอ้ว พระเจ้า!!
……..
หลังจากยังไม่หายมึนกับการแออัดของผู้คนบนรถไฟฟ้าใต้ดิน จากหัวลำโพงมาสุทธิสาร เช้าวันนี้งัวเงียตื่นขึ้นมาพร้อมกับที่ฝนตกปรอย ๆ เพื่อนตัดสินใจโทรเรียกแท็กซี่ให้มารับ เพื่อไปส่งยังสนามบินสุวรรณภูมิราว 06.30 น. เพื่อจะไปให้ทันเช็คอินก่อน 07.15 น. ด้วยความรีบร้อนกลัวไม่ทัันประกอบกับฝนตกทำให้ระหว่างนั่งรถ เกิดการวิงเวียนศีรษะอย่างบอกไม่ถูก
ไปถึงสุวรรณภูมิราว 07.15 น. ก็ไปเช็คอินตามปกติ ปรากฎว่ามาสาย ปิดรับกระเป๋าแล้ว ต้องหิ้วขึ้นเครื่องเอา เนื่องจากหากรอโหลดกระเป่าต้องรอไฟล์ตอน 11 โมง ก็ยังทุลักทุเลผ่านมาได้ ทีนี้เนื่องจากเรามาเช็คอินสาย แล้วจะต้องไปขึ้นเครื่องที่ F1A ซึ่งอยู่ไกลมาก ต้องวิ่งกันแทบตายกลัวไม่ทัน โชคยังดีที่เขายังรอ ก็ให้รถตู้มารับพาไปส่งที่เครื่อง ซึ่งนอกจากกระเป๋าใบโต เราก็พกความรู้สึกผิดและละอายแก่ใจที่ทำให้คนอื่นต้องรอ เฮ้อ !!!




และแล้วเราก็มาถึง Hồ Chí Minh จนได้ ตอน 09.15 น. ไม่ขาดไม่เกิน
หนังสือต่างประเทศเกี่ยวกับ Ho Chi Minh






เพื่อนกุ้งจองห้องพักที่โรงแรม Asian Ruby 2 ระดับ 2 ดาว ไว้ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากตลาด เบียนฐาน เดินออกจากโรงแรมแล้วเลี้ยวซ้่าย 2 ครั้งก็เจอตลาดเบียนฐานเลย


สำหรับอาหารเช้าคือ เฝ๋อ นั้น เพราะเราอ่านภาษาเวียดนามไม่ออก และผู้คนทั่วไปก็ไ่ม่ได้สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นการไปเที่ยวควรมีเครื่องคิดเลขติดตัวไปด้วย เวลาถามราคาจะได้ไม่งง อาหารที่นี่แพงมาก มือละเป็นหมื่นเป็นแสน ดอง หมื่นดองประมาณ 17 บาท
ที่โฮห์จิมิน นี้ จะมีร้านกาแฟใหญ่ ๆ สองประเภท หรือแบรนด์ตะวันตก กับร้านกาแฟเวียดนามเอง ซึ่งที่พบบ่อยจะตั้งอยู่ริมถนนที่มีต้นไม้ร่มรื่นสองข้างทาง ที่สำคัญแถวนี้หารถควันดำแทบไม่มี น้อยมากครับ








ตอนเย็นหัวค่ำ ไปดู The water puppet show การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ สารภาพว่า มีช่วงหนึ่งเผลอหลับไป เอ้อ สาวเกาหลี น่ารัก ๆ เยอะมาก สำหรับการแสดงในรอบหัวค่ำนี้ 55


ในหนังเรื่องหนึ่งมีบทพูดว่า “เด็กร้องไห้ เพราะรู้ว่า ถ้าร้องแล้วจะได้สิ่งนั้นมา ต่างกับผู้ใหญ่ที่ร้องไห้ เพราะรู้ว่ายังไงเสีย ก็ไม่มีทางได้สิ่งนั้นมา”

จบทริปการเดินทางไปโฮห์จิมิน เพียงเท่านี้ดีกว่าครับ ไว้มาเที่ยวด้วยตัวเองหรือมาพร้อมกับครอบครัว จะได้รู้สึกว่า จริง ๆ แล้วเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร บางที ณ เวลาที่เราคิดอะไรไม่ออก การเดินทางอาจจะชี้นำความคิดใหม่ ๆ ให้กับเราได้นะครับ
รักษาสุขภาพ พบกันทริปหน้า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เอ๊ะ หรือไปสิบสองปันนาดี !!!
