คนจีนแข่งขันสูงจนล้าเพราะ

กดเพื่อฟังบทความ

บล็อกเกอร์คนหนึ่งในไป่ตู้ได้โพสต์ข้อความบางอย่างในเดือนเมษายนปี 2021 เนื้อหาใจความในโพสต์ได้เรียกร้องให้คนหนุ่มสาวผู้เป็นดั่งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศจีน เลือกที่จะไม่ต่อสู้แข่งขันหางานทำให้ประสบความสำเร็จหรือขยันทำงานตลอดเวลา แต่เลือกที่จะทิ้งตัวนอนนิ่ง ๆ เสีย ซึ่งมีคำที่ใช้ระบุสภาพการณ์แบบนี้ว่า tang ping หรือถ่างผิง ที่มีความหมายในเชิงทิ้งตัวนอนนิ่ง ๆ ปล่อยตัวปล่อยใจ

แนวคิดถ่างผิงนั้น จริง ๆ แล้วค่อนข้างเข้าใจกันโดยทั่วไปในแง่ของการที่คนหนุ่มสาวจำนวนมากรู้สึกเหนื่อยหน่ายจากการเล่นเกมส์ที่สังคมกำลังกำหนดกติกาให้กับพวกเขาอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็น เข้าเรียนที่ดี ๆ การแข่งขันกันหางานทำ หาเงินให้ได้มาก ๆ ซื้อบ้าน ซื้ออสังหาริมทรัพย์….. แต่พวกเขากลับไม่สนใจในการแข่งขันชนิดนี้ พวกเขากลับชอบวิถีชีวิตอีกแบบมากกว่า
………………………………………….

ทำไมคนวัยหนุ่มสาวของจีนถึงได้รู้สึกเหนื่อยล้า เหนื่อยหน่าย จนถึงกับเบื่อกฏเกณฑ์ค่านิยมทางสังคมที่เป็นมา ?

จำนวนผู้ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเฉพาะวุฒิปริญญาตรีมีราว  ๆ 10 ล้านคนในปี 2022 นี้ ซึ่งความท้าทายก็คือ การมีผู้จบการศึกษาจำนวนมากในขณะที่ตำแหน่งงานว่างมีน้อยกว่า ทำให้การแข่งขันมีอัตราที่สูงมาก

การระบาดของโควิด 19  ลากยาวมาถึงปี 2022 เจ้าหน้าที่จีนยังคงดำเนินการตามมาตรการ zero-covid ทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างหนัก นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า GDP ของจีนที่ลดลงไป ก่อให้เกิดความสูญเสียราว 45,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน จากการที่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่าง ซินเจียง เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่ง ทำการปิดเมือง ขณะที่ตัวเลขนักศึกษาจบใหม่ราว 10.8 ล้านคนกำลังเข้าสู่ตลาดแรงงานในปีนี้ แต่อัตราการว่างงานอยู่ที่ 18.4% โดยเพิ่มขึ้นจาก 14% ในช่วงปลายปี 2021

จึงทำให้เกิดคำนิยามความเหนื่อยล้าที่ต้องแข่งขันกันในเกือบทุกสิ่งทุกอย่างนี้ขึ้นมาใหม่อีกคำหนึ่งว่า bailan (ไป่ล่าน) แปลว่า ปล่อยให้มันเฉาไป ต่อจากคำว่า ถ่างผิง ที่เป็นกระแสบนโลกออนไลน์ในปีก่อนหน้า

…………

15 Million Young People in China Estimated to Be Jobless

ไป่ล่านคืออะไร ลองขยายความแบบยกตัวอย่างให้ได้ความรู้สึกแบบนั้นสักหน่อยได้ไหม ?

วัยรุ่นชายคนหนึ่งบอกว่า เขาทำงานที่อู่รถ 6 วันต่อสัปดาห์ เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น คืองานที่ทำมันก็เหมือนเดิมทุก ๆ วัน วน ๆ ซ้ำ ๆ มันน่าเบื่อ ทำแบบเดิมตั้งแต่จันทร์ถึงเสาร์แล้วสัปดาห์ต่อ ๆ ไปก็ต้องมาทำแบบเดิมอีกไม่รู้จบ มันทำให้เขาขาดแรงจูงใจ เริ่มจากขาดแรงจูงใจในการทำงานหลังจากนั้นก็ขยายวงออกไปสู่มิติอื่น ๆ ในชีวิต

หลังจากจบมัธยมปลาย เขาตั้งความหวังค่อนข้างสูงว่าจะหางานดี ๆ ทำ มีเงินเดือนสูง ๆ

“ผมเคยคิดแบบนั้นแล้วผมก็ขยันทำงานก่อนที่จะรู้สึกว่า มันไม่ได้อะไรเลย”

ผมไม่สามารถฝืนสู้ได้ จากนั้นผมก็ค่อย ๆ เฉื่อยชาลงจนกลายมาเป็นอย่างตอนนี้

ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อ คือถ้าต้องเจอภาวะแบบนี้สักสามวันห้าวันก็ยังพอไหว แต่ถ้าเจอแบบนี้ไปตลอดนาน  ๆ มันเป็นอะไรที่เกินจะทนเหมือนกัน รู้สึกไม่อยากทำ รู้สึกว่าเราไม่ต้องทำก็ได้หรือไม่อยากทำแล้ว อะไรทำนองนี้ ถ้าผมไม่ต้องสู้ ไม่ต้องเจอกับมัน มันน่าจะดีกว่านะ ไปหาอย่างอื่นที่ทำแล้วสบายใจดีกว่า

มันก็เหมือนกับการที่เราชอบเล่นเกมส์ ดังนั้นถ้าหากผมกับเพื่อนต่างก็พากันรู้สึกว่าเราผ่านด่านนี้ไม่ได้แน่ เราก็จะยอมแพ้แล้วไปหาเกมส์อื่นที่ง่ายกว่าเล่นแทน

……………………………………

ถ่าง ผิง หมายความว่า ฉันไม่สามารถไต่เต้าขึ้นไป ฉันอยากปกป้องตัวเองมีมุมของตัวเองโดยการลดกิจกรรมทางสังคมรวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยการปฎิเสธระบบ อย่ามายุ่งกับฉัน อย่างเช่นการพยายามที่จะมีวิถีชีวิตของตัวเอง จากนั้นก็จะมีพฤติกรรมต่อต้านสังคม แต่เมื่อเทียบกับคำว่า ไป่ล่าน แล้วอย่างหลังดูจะ หมดแรงกว่า เหนื่อยหน่าย ท้อแท้กว่า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผู้นำจีนถึงค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับกระแสดังกล่าวนี้

……………………………………………

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2022 ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานครบรอบ 100 ปี ของขบวนการ 4 พฤษภาคม โดยใจความสำคัญได้พูดถึงกลุ่มคนวัยหนุ่มสาว

ขบวนการ 4 พฤษภาคม (จีนตัวย่อ: 五四运动; จีนตัวเต็ม: 五四運動; พินอิน: Wǔsì Yùndòng) เป็นขบวนการต่อต้านจักรวรรดินิยม, ขบวนการวัฒนธรรมและการเมืองที่เติบโตขึ้นจากการเดินขบวนของนักศึกษาในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1919

โดยในสุนทรพจน์ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้กระตุ้นให้คนวัยหนุ่มสาวใส่ใจกับบ้านเมือง ไม่ใช่เพียงเป้าหมายส่วนตัว

………………………………………….

ในเดือนสิงหาคมปี 2021  ทางการจีนได้กวาดล้างสถาบันสอนพิเศษทั้งตามเมืองต่าง ๆ และในส่วนของติวเตอร์ออนไลน์ด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ได้รับผลกระทบว่างงานกว่า 3 ล้านตำแหน่ง ติวเตอร์ส่วนตัวจึงได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักเรียนหายไปหลายคนรวมถึงรายได้ก้อนใหญ่ด้วย

อดีตติวเตอร์สาววัย 29 ปีคนหนึ่ง บอกว่า

“ตอนที่ฉันเรียนจบ ฉันคิดว่าฉันสามารถหางานดี ๆ ทำได้ อยากจะหาเงินได้เยอะ ๆ ตอนนั้น เต็มไปด้วยความมั่นใจ มีความมุ่งมั่น มีพลังเหลือเฟือ ตราบใดที่ขยันทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะว่าฉันยังอายุน้อย ยังมีโอกาสและเหลือเวลาอีกมากมาย”

ที่ผ่านมา เธอทำงานวันละ 15 ชั่วโมง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เธอพบว่าผลตอบแทนที่ได้รับไม่คุ้มกับความพยายาม เธอเริ่มมีปัญหาสุขภาพที่ไม่สามารถจัดการได้ รู้สึกเหนื่อยง่าย งานที่เธอเคยทำค่อนข้างกดดันและมีงานให้ทำเยอะ เมื่อทำไปนานวันเข้า รู้สึกว่าควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ บางครั้งหากได้พักผ่อนเพียงพอร่างกายก็เหมือนจะดีขึ้น แต่ภาวะทางจิตใจนั้นคือเป็นกังวลตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะพยายามมากเท่าไหร่ ขยันมากเท่าไหร่ บางทีคุณก็อาจจะทำได้ไม่ดีเท่าคนอื่น หรือในบางครั้งแม้แต่จุดหมายปลายทางของคุณยังไม่อาจเทียบได้กับจุดเริ่มต้นของคนอื่น ๆ เลยเสียด้วยซ้ำ ฉันกลับมายอมรับความจริงตรงนี้และพยายามอยู่กับมันให้ได้

สำหรับฉันแล้ว ฉันเลือกวิถีชีวิตแบบไป่ล่าน เพราะมันดีต่อตัวเองจริง ๆ

ผู้คนไม่ควรเข้าไปแทรกแซงหรือตัดสินวิถีชีวิตของคนอื่น ไป่ล่านนั้นเป็นทางเลือกส่วนบุคคลและไม่ควรมีใครไปตัดสินเขาที่เลือกวิถีชีวิตแบบนี้

ไป่ล่านไม่ได้มีแต่แง่ลบ  

……………….. …………………….. ………………………………

Deng Xiaoping and his political thought [Legend China]

หากเราลองย้อนกลับไปดูภาพรวมประเทศจีนตั้งแต่สมัยการนำของประธานเหมา เจ๋อตุง ที่พาจีนฝ่าช่วงเวลาแห่งความยุ่งเหยิงของการก้าวกระโดดไปข้างหน้าและการปฎิวัติวัฒนธรรมแต่ทว่าได้ส่งผลด้านลบต่อเศรษฐกิจ

จากปี 1950 มาจนถึงปี 1976 ตัวเลข GDP ของจีนไม่เคยโตเกิน 2%  เกือบ 30 ปี ภายหลังการก่อตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีนในปี 1949 เศรษฐกิจไม่ได้มีการเติบโต โดยรายได้ต่อหัวคือ 165 เหรียญฯ ในปี 1976

เมื่อประธานเหมาถึงแก่อสัญกรรมด้วยภาวะหัวใจวายในปี 1976 เติ้ง เสี่ยวผิง ได้ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำจีนในปี 1978 ได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดมาใช้ระบบตลาดซึ่งจะช่วยเปลี่ยนประเทศจีนจากรัฐที่ยากจนโดดเดี่ยวให้กลายมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก โดยอาศัยนโยบายเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีนได้โดยตรง

นับจากปี 1978 ถึงปี 2013  เศรษฐกิจจีนโตเฉลี่ยปีละ 9.5% ต่อปี ซึ่งการเติบโตด้วยความเร็วดังกล่าวตามรายงานของธนาคารโลกถือว่าเป็นการเติบโตที่มีการขยายตัวอย่างยั่งยืนที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์

มีปัจจัยหลายอย่างช่วยกระตุ้นให้ผู้คนขยันเพื่อก้าวไปให้ถึงความร่ำรวยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นเพื่อที่จะเป็นคนกลุ่มแรกที่รวยในประเทศจีน จึงเป็นการปลดปล่อยพลังขับเคลื่อนความปรารถนาอย่างแรงกล้าของคนจีนกลุ่มหนึ่งจากที่เคยถูกกดไว้ระหว่างช่วงปฎิวัติวัฒนธรรม เมื่อมีโอกาสพวกเขาจึงไม่รีรอที่จะคว้ามันไว้

ในการที่จะให้คนจำนวนน้อยมีโอกาสร่ำรวยเป็นครั้งแรกนั้นเป็นเหมือนการเปิดประตูระบายน้ำแรงขับเคลื่อนของผู้ประกอบการชาวจีน พวกเขาสามารถขยันทำงานหนัก ทำฝันให้เป็นจริง ทั้งนี้ก็เพราะว่าช่วงเวลาก่อนการปฎิวัติวัฒนธรรมนั้นประชาชนจีนส่วนใหญ่ยากจนข้นแค้นเอามาก ๆ

…………….. ………………….. ……………….

แต่ยังมีความเห็นต่าง ระหว่าง Gen X และ คนยุค Baby boomer ผู้ซึ่งมาก่อนพวกเขา

ชายวัย 63 ปีคนหนึ่ง เล่าถึงการสร้างธุรกิจของเขาให้ฟังว่า
ณ ตอนนั้น ผมสร้างตัวเพื่อพวกเราเอง มันไม่มีอะไรเหมือนอย่างการทำงานเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นเพราะไม่ว่าจะในฐานะฝ่ายขายหรือในฐานะเจ้านายก็ตาม ผมมีความรู้สึกว่า ผมทำธุรกิจเพื่อตัวเอง ดังนั้นผมจึงไม่มีแนวคิดที่เป็นเหมือนการทำงานแบบเก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ผมทำ ผมทำจากกลางวันจนถึงกลางคืนและทำงานตลอดเวลา ดังนั้นมันจึงต่างจากสังคมในปัจจุบันที่ผู้คนต่างก็ปรารถนาที่จะอยู่ในบ้านที่สะดวกสบายและทำงานเก้าโมงถึงห้าโมงเย็น มันแตกต่างกันสุด ๆ

ในเวลานั้น การขนส่งยังไม่พัฒนา เราตื่นเต้นที่จะได้ออกไปยังต่างจังหวัด พวกโรงงานไฟฟ้าต่าง ๆ ล้วนตั้งอยู่ในเชตชนบท ไม่ได้อยู่ในเมืองแต่เรากลับรู้สึกมีแรงจูงใจ ในเวลานั้นอุตสาหกรรมในจีนยังล้าหลัง พอมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ช่วยเพิ่มผลผลิตได้ก็ยิ่งทำให้ลูกค้าตื่นเต้น ผมกับภรรยาต้องแยกกันอยู่ ซึ่งมันไม่ได้มีเรื่องอะไรสำหรับครอบครัวที่ต้องแยกกันอยู่ เรายังคงอยู่ด้วยกัน แต่เป็นเรื่องของงาน มันเป็นเรื่องของการสร้างตัวสร้างฐานะ ต้องออกไปตระเวนทำงาน เมื่อผมสร้างฐานะขึ้นมาได้ เราก็สามารถกลับมาอยู่กับภรรยาและลูก ๆ ได้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นหลายครอบครัวต่างก็มีชีวิตแบบเดียวกันนี้

ประเทศจีนของเราได้พัฒนามาตรฐานความเป็นอยู่และระบบเศรษฐกิจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นครอบครัวของคนรุ่นใหม่อาจจะมีสายป่านเลี้ยงดู และเด็กบางคนก็อาจคิดว่ามันก็สบายดีที่จะทำอะไรไปโดยไม่ต้องพยายามอะไรมากมายนัก

แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเราไม่ควรเหมารวมคน gen Z ของจีนไปเสียทั้งหมดว่าทุกคนคิดแบบเดียวกัน ซึ่งมันไม่ใช่ข้อสรุปการเลือกดำเนินวิถีชีวิตของคนวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ของประเทศจีน เพราะส่วนใหญ่ยังคงทำในสิ่งที่พวกเขาทำได้ให้มากที่สุดไม่ว่าจะมีโอกาสอะไรมาวางอยู่ตรงหน้าก็ตาม

………………………… ………………………….

The Extreme 996 Work Culture in China

ลองมาดูตัวอย่างคนหนุ่มสาวฝั่งที่แอคทิฟ กระตือรือร้นแบบสุด ๆ กันบ้าง
เซลล์สาวคนหนึ่งบอกว่า ด้วยธรรมชาติของงานขาย ฉันจำเป็นที่จะต้องตื่นตัวตัว ทำงานให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ถึงแม้จะทำงานวันละ 12 ชั่วโมงก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังไหวอยู่

เธอกลับถึงบ้านตอนสามทุ่ม

แต่ทว่าก็ยังทำงานไม่เสร็จ เธอกำลังค้นคว้าข้อมูลบางอย่าง มันค่อนข้างยุ่งมาก ตัวอย่างเช่น การทำงานแปดชั่วโมงต่อวัน ถ้าหากฉันต้องไปพบลูกค้า 3-4 คน รวมถึงต้องจัดการงานเรื่องอื่นๆ ด้วย  ฉันอาจต้องทำงานถึง 11 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว

ในภาพรวมแล้วเธอมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและมีความภูมิใจที่ได้เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม 996 ซึ่งก็คือการทำงานเก้าโมงเช้าถึงสามทุ่มเป็นเวลาหกวันต่อสัปดาห์

ทัศนคติของฉันคือ 996 เพราะอะไร เพราะว่า คุณสามารถได้ผลลัพธ์ที่ดีถ้าหากคุณขยัน ฉันอยากสามารหาเงินได้ปีละ 5 ล้านหยวนหรือมากกว่านั้น มันเป็นอะไรที่วิเศษเลยล่ะ ฉันยังคงอยู่ในเวทีที่ฉันจำเป็นต้องทำงานหนักเพราะว่าอายุยังน้อย เป้าหมายก็คือหาเงินให้ได้ปีละล้านหรือไปถึง 10 ล้านหยวนได้ยิ่งดี นี่คือเป้าหมายระยะไกล ฉันยังมีเวลา ฉันสนุกกับมัน

การทำงานหนักเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ชัดเจนว่าเมื่อฉันขยันก็เพื่อเงินแต่นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่เป็นแรงจูงใจให้ฉันทำงานหนัก ขยัน ก็คือ ต้องการสร้างคุณค่าของตัวเองในสังคม นี่คือจุดสำคัญสำหรับฉัน ดังนั้นแล้วไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นความท้าทาย แม้ต้องทำงาน 12 ชั่วโมงต่อวัน ฉันสัมผัสได้ถึงความสำเร็จ ฉันวัดมันด้วยสิ่งนี้ ฉันคาดหวังมากจากงานของฉัน ทำให้รายได้ฉันเติบโต

……………………………………

การเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างไป่ล่าน เป็นเหมือนการปฏิเสธวัฒนธรรมการทำงานแบบ 996  ในอดีตนั้น 996 หมายถึงการที่พวกเขาแทบจะทำทุกอย่างตามที่เจ้านายสั่ง พวกเขาชอบที่จะทำให้เจ้านายพอใจ ดังนั้นในประเทศจีน คุณสามารถเห็นคนในวัยที่แก่กว่าก็ยังทำงานหนัก แต่ในปัจจุบันคนวัยหนุ่มสาวเหล่านี้พวกเขารู้วิธีที่จะปกป้องตัวเอง เพราะว่าโดยภาพรวมแล้วพวกเขาไม่คิดว่าพวกเขาทำงานหนักหรือขยันทำงานแล้วจะมีอนาคตที่ดีได้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะสนุกกับชีวิตมากกว่า
…………………………………..

แต่ไม่ว่าอย่างไรในท้ายที่สุดแล้วคนหนุ่มสาวจะเป็นผู้กุมอนาคตของจีน ดังนั้นมันจึงสำคัญที่จะให้คนหนุ่มสาวเหล่านั้นรู้สึกถึงความมีพลัง เพราะว่าเมื่อพวกเขารู้สึกถึงความมีพลัง พวกเขาจะมีแนวคิดบวกต่อชีวิตซึ่งนั่นจะทำให้ชีวิตมีค่า ควรค่าแก่การมีชีวิตซึ่งโดยภาพรวมก็จะทำให้ประเทศจีนสามารถแข่งขันได้มากขึ้น

นอกจากนั้นทางรัฐบาลจีนยังเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องที่ไม่มีการขยับฐานะทางสังคมรวมถึงการขาดโอกาส ที่เป็นสาเหตุของทัศนคติที่ท้อแท้อย่างไป่ล่าน จึงได้มีการรณรงค์ในเดือนสิงหาคม 2021  ในแคมเปญที่เรียกว่าความรุ่งเรืองร่วมกัน โดยมีจุดประสงค์หลักคือการลดช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยและเพื่อให้แน่ใจว่าความก้าวหน้าของจีนจะถูกรวมไว้อยู่ในการขับเคลื่อนของคนรุ่นใหม่


การแข่งขันที่สูงเกินไปนั้นส่งผลต่อทุกคน เพราว่าเราไม่ได้มีทรัพยากรมากมายเพียงพอ ดังนั้นทุกคนต่างแย่งชิงกันเพื่อส่วนแบ่งที่แสนเล็กน้อย นั่นหมายความว่าทุกคนต้องใช้ความพยายามอย่างมาก พ่อแม่ก็ต้องพยายามอย่างมากในการฟูมฟักลูก ๆ  จากนั้นก็ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ลูกมีการศึกษาสูง ๆ ดี ๆ  จากนั้นจบออกมาก็ต้องพยายามอย่างมากในการที่จะได้งานดี ๆ ทำ ซึ่งปัญหาหลักก็คือทรัพยากรไม่ได้มีมากเพียงพอพอสำหรับทุกคน ปัญหาที่ตามมาก็คือความแตกต่างทางด้านรายได้และย่อมส่งผลต่อการเลื่อนฐานะทางสังคม

…………………..

ปิดท้ายด้วย ผู้หญิงวัย 29 ปี คนหนึ่ง เธอให้ทัศนะไว้อย่างน่าสนใจว่า

สำหรับฉันและผู้คนรอบตัวฉัน เราไม่ได้ทำให้ประเทศล้าหลังหรือฉุดรั้งประเทศไว้ เพราะว่าเราไม่ได้ไม่มีเป้าหมายหรือเป็นภาระให้พ่อแม่ ครอบครัวรวมไปถึงสังคม เราเพียงแต่ทำในสิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเราเอง ที่ไม่เกินกำลังของเรา

บางคนอาจเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย บางคนอาจเป็นครู บางคนก็อาจเป็นคนทำความสะอาดที่ช่วยทำให้ถนนหนทางสะอาด ฉันรู้สึกว่าทุกคนมีบทบาทของตัวเองและไม่สามารถถูกทดแทนได้ตราบใดที่พวกเขาสามารถทำในสิ่งที่พวกเขาทำได้และไม่ได้ดึงหรือถ่วงประเทศ มันก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้

………………………

สำหรับในตอนนี้ คำว่า ไป่ล่าน ยังคงจำกัดอยู่ในโลกออนไลน์เป็นหลัก แต่เนื่องจากจีนมีแรงงานจำนวนมาก พวกเขาต้องแข่งขันกันอย่างรุนแรงในตลาดแรงงานและในการศึกษา ดังนั้นมันยังมีคนอีกกลุ่มใหญ่ที่พวกเขายังขยัน ทำงานหนักเพื่อที่จะแน่ใจได้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจของจีนยังพัฒนาต่อไปได้ และต่อให้มันอาจจะเป็นเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ แต่การมีประชากรที่มีทักษะของจีนจำนวนมากนั้น มันจะไม่ส่งผลอะไรต่อการฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน ไป่ล่านไม่ถึงขั้นเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม แต่มันอาจเป็นเพียงแนวความคิดอย่างหนึ่งของคนบางคนที่แสดงถึงลักษณะเฉพาะตัวของคนคนนั้น ไม่ใช่คนทั้งหมด ดั้งนั้นไม่มีอะไรต้องไปกังวล เพียงแต่รัฐบาลต้องเผชิญหน้ากับปัญหาและแก้ให้ถูกจุดซึ่งจะกลายเป็นส่งผลดีต่อประเทศจีนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นอีกด้วย


Similar Articles

Comments

Advertisement

โคมไฟอ่านหนังสือ

Baseus โคมไฟ โคมไฟตั้งโต๊ะ อ่านหนังสือถนอมสายตา light โคมไฟอ่านหนังสือ โคมไฟหัวเตียง table lamp LED

สินค้าพร้อมจัดส่งจากไทย

Royal Kludge RK68

Royal Kludge RK68 RGB Hotswap USB HUB คีย์บอร์ดเกมมิ่งคีย์ไทย ไร้สายบลูทูธและมีสาย เปลี่ยนสวิตซ์ได้ เลเซอร์ไทย - English

Most Popular

จอคอมพิวเตอร์

จอมอนิเตอร์ 24นิ้ว จอคอม 75HZ หน้าจอโค้ง จอเกมมิ่ง LED Gaming monitor จอมอนิเตอร์เกมมิ่ง จอมอนิเตอ สปอตสินค้า LED

สินค้าพร้อมจัดส่งจากไทย