การขายของออนไลน์ยากกว่าเดิม

คนขายของออนไลน์ต่างก็ยอมรับว่าการที่จะประสบความสำเร็จกับการขายของออนไลน์นั้น ยากกว่าเดิม !!

ไม่ว่า Google จะตัดสินใจปรับหลักเกณฑ์ในการแสดงผลการค้นหาให้ดียิ่งขึ้นหรือ Facebook ลดการแสดงผลเนื้อหาที่เราสนใจลงแต่แทรกโฆษณาเข้ามามากขึ้นก็ตาม แน่นอนว่าปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อธุรกิจของผู้ขายของออนไลน์โดยเฉพาะรายย่อยอย่างหลีกเลียงไม่ได้ ซึ่งจะต้องปรับกลยุทธ์กันครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอด

จะว่าไปแล้วคนที่ขายของออนไลน์ก็ต้องแข่งกับเจ้าใหญ่ที่ก็หันมาเน้นเจาะตลาดลูกค้าที่นิยมสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ที่นอกจากจะเป็นการสร้างความภักดีต่อแบรนด์ของตนแล้วยักษ์ใหญ่พวกนี้ยังทุนหนาอีกด้วยและพร้อมที่จะใช้กลยุทธ์การตลาดแบบห้ำหั่นเฉือดเฉือนได้ทันที พร้อมกันนี้ยังมีสินค้าในสต็อกให้เลือกมากมายประกอบกับมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอยู่ในมือ

สำหรับตลาดอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ บริษัทที่ถูกจัดอันดับอยู่ในลำดับที่ 1- 500 นั้น โดยอ้างอิงจากยอดขายออนไลน์ของบริษัทดังกล่าวในสหรัฐฯ มียอดขายออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ในปี 2014 เพิ่มขึ้นจากปี 2013 จำนวน 15.7%

ส่วนบริษัทที่ถูกจัดอันดับในลำดับที่ 501-1,000 มียอดขายออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ในปี 2014 เพิ่มขึ้นจากปี 2013 จำนวน 14.4% ต่ำกว่ายอดขายรวมของตลาดออนไลน์ทั้งสหรัฐฯ เล็กน้อย ซึ่งอัตราการเติบโตอยู่ที่ 15.4% เมื่อเทียบกับปี 2013 โดยอาศัยรายงานตัวเลขจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ

แต่ที่น่าสนใจก็คือ การเติบโตของการค้าออนไลน์นั้นสูงถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับการค้าปลีกทั่วไปที่มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 3.5% ในปีที่แล้ว (ทั้งนี้ไม่รวมกลุ่มพลังงาน รถยนต์และร้านอาหาร )

นักวิเคราะห์มองว่าสำหรับธุรกิจขนาดเล็กแล้ว การขายสินค้าออนไลน์ เป้าหมายสำคัญสำหรับชั่วโมงนี้ไม่ได้อยู่ที่การเติบโตของยอดขาย แต่อยู่ที่ “ความอยู่รอด” ขอแค่รักษาระดับให้คงเส้นคงวาไว้ เพราะการแข่งขันที่สูงขึั้น รวมทั้งสินค้าที่ขายก็คล้าย ๆ กัน ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และยังต้องแย่งชิงพื้นที่ในโลกออนไลน์เพื่อให้ลูกค้ามองเห็น

หากคุณเป็นธุรกิจขนาดเล็ก จำเป็นต้องคิดหาว่าจะทำกำไรได้อย่างไร แต่นั่นหมายความว่า “คุณไม่สามารถจะใช้การขายแบบเดียวกันกับสินค้าอย่างเดียวกันเหมือนดังเช่นที่คนอื่น ๆ เขาก็ทำกัน !” คุณต้องเจาะลึกลงลูกค้าเฉพาะกลุ่ม พัฒนาตัวสินค้าให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ทำสินค้าให้มีความแตกต่างและใช้ช่องทางการตลาดเพื่อผลักดันยอดขาย

ร้านค้าออนไลน์บางแห่งก็ใช้วิธีร่วมทุนเพื่อทำให้มีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้นและขยายช่องทางการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างรวดเร็วทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การขายของออนไลน์นั้นสามารถทำยอดขายได้ดีกว่าวิธีการขายของผ่านแคตตาล็อกสินค้าหรือการโฆษณาทางทีวี แต่ก็ต้องแลกกับการลงทุนเพื่อใช้ในการโฆษณาให้แสดงผลพร้อมกับคำค้นหาบนเสิร์ชเอ็นจิ้นต่าง ๆ หรือลงโฆษณาในเครือข่ายสังคมออนไลน์รวมทั้งปรับปรุงเว็บไซต์ให้แสดงผลบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้เป็นอย่างดี