บทความช้ินนี้ อ้างอิงจากงานเขียนของ Robert Levine
ร้านหนังสือออนไลน์-Herothailand.com
ในยุค 80 และ 90 สถานีโทรทัศน์ NBC ได้มีอิทธิพลต่อวงการโทรทัศน์ในอเมริกาเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรายการอย่าง Miami Vice,The Cosby Show, Cheers, Seinfeld, Friends รายการยอดนิยมเหล่านี้เป็นตัวทำเงินอย่างดีทีเดียว NBC เคยเป็นแผนกหนึ่งของ General Electric ที่ทำกำไรได้มากที่สุด แต่เมื่อบริษัทแม่ถูกซื้อกิจการไปโดย Comcast ในปีนี้ ทำให้มูลค่าของบริษัทไม่ค่อยดีนัก
สถานีโทรทัศน์ NBC ไม่ได้เป็นบริษัทธุรกิจสื่อรายใหญ่เพียงรายเดียวที่ตกต่ำในช่วงเวลาที่ยากลำบาก EMI ค่ายเพลงที่เป็นเหมือนบ้านของ Beatles และ Pink Floyd ก็ได้ปลดพนักงานนับพันตำแหน่ง
สำหรับ Washington Post ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นต้นแบบของหนังสือพิมพ์อเมริกาด้วยการรายงานข่าวคดีวอเตอร์เกท ได้ลดพนักงานสถานีข่าวลง และปิดสำนักงานทั่วประเทศ และได้ประกาศว่า ” เราไม่ใช่องค์กรข่าวระดับประเทศอีกต่อไป”
ส่วน MGM ที่มีโลโก้เป็นรูปสิงห์โตคำราม เมื่อเร็ว ๆ นี้มีผลประกอบการลดลงน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของที่ได้รับในปี 2005
บริษัทต่าง ๆ เหล่านี้ได้เผชิญหน้ากับปัญหาแบบเดียวกัน พวกเขาไม่สามารถเก็บเกี่ยวรายได้มากพอในการสร้างงานของพวกเขา สาธารณะชนไม่ได้มีความต้องการน้อยลงเลยที่จะชมโทรทัศน์ หนังสือพิพม์ หรือภาพยนตร์ กลับแสดงให้เห็นว่าบทความต่าง ๆ และภาพยนตร์เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากกว่าสื่อออนไลน์ด้วยซ้ำไป ปัญหาก็คือว่า แม้ว่าอินเตอร์เน็ตได้กระจายไปยังกลุ่มผู้บริโภคสื่อแต่ในขณะเดียวกันก็ได้ทำลายตลาดสำหรับสื่อด้วยเช่นกัน
กว่าสิบปีที่ผ่านมา มูลค่ามากมายที่เกิดจากธุรกิจเพลง ภาพยนตร์และหนังสือพิมพ์ ได้ให้ผลประโยชน์กับบริษัทอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ทำเทปผีซีดีเถื่อนและบริษัทที่ทำเกี่ยวกับเทคโนโลยีตามลำดับ เว็บไซต์ที่ขายเกี่ยวกับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ทำเงินได้จากการขายอัลบั๋มเพลงดัง ๆ แบบผิดกฏหมาย ทำให้ยอดขายเพลงลดลงกว่าครึ่งจากช่วงสิบปีที่ผ่านมา
Youtube ใช้คลิปวิดิโอรายการทีวี เช่น NBC’s Saturday Night Live ในการสร้างธุรกิจจนต่อมาถูก Google ซื้อไปในราคา 1.65 พันล้านเหรียญฯ และ Huffington Post ก็กลายมาเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากการนำบทความในหนังสือพิมพ์มาเขียนใหม่
นี่ไม่ใช่ผลของเทคโนโลยีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามธรรมเนียมแล้วบริษัทที่ลงทุนในเพลงและภาพยนตร์ก็จะควบคุมการจัดหน่ายเองอีกด้วย
อินเตอร์เน็ตได้เปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไมเ่ใช่เพราะว่ามันสามารถส่งผ่านข้อมูลดิจิตอลได้อย่างรวดเร็วเท่านั้นแต่เป็นเพราะว่ากฏเกณฑ์ที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีสามารถที่จะหลบเลี่ยงความรับผิดชอบต่อรูปแบบธุรกิจของเขาที่ได้ทำให้ตลาดแตกสลาย
ส่วนหนึ่งของปัญหามาจากเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์กันอย่างแพร่หลาย การจัดจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งไม่ได้สร้างผลประโยชน์ให้กับเจ้าของผลงานหรือบริษัทที่ได้ลงทุนในสิ่งนั้น นอกจากนี้ยังสร้างแรงกดดดันใหักับบริษัทสื่อให้ยอมรับการจัดจำหน่ายผ่านรูปแบบออนไลน์ซึ่งไม่ได้ครอบคลุมต้นทุนการผลิต
แต่เรื่องที่สำคัญก็คือเจ้าของผลงานและผู้จัดจำหน่ายได้รับความสนใจน้อยลง บริษัทอย่าง Google และ Apple ไม่ได้สนใจมากนักในเรื่องการขายสื่อเหล่านี้ เนื่องจากพวกเขาทำเงินได้จากหนทางของตนเองซึ่งก็ได้แก่ การโฆษณาซึ่งเป็นหัวใจหลักและแก็ทเจ็ทที่สำคัญรองลงมา Google เพียงแต่ต้องการช่วยผู้บริโภคค้นหาเพลงหรือแสดงผลสิ่งที่พวกเขากำลังค้นหาหรือไม่ก็แสดงลิงค์ดาวน์โหลดที่ถูกกฏหมายหรือบางทีอาจจะไม่….
ในขณะที่ Apple กำลังให้ความสนใจกับการลดราคาเพลงเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ของตนใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น และด้วยกระแสแบบนี้ไม่เพียงแต่ทำร้ายกลุ่มบริษัททำสื่อเท่านั้น มันยังสร้างปัญหาให้กับศิลปินอิสระและบริษัทอื่น ๆ ในทุกขนาด
บริษัทเทคโนโลยีมักจะสนับสนุนความคิดที่ว่า “ข้อมูลต้องเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย” Stewart Brand นักเทคโนโลยีกล่าวว่า ” เนื่องจากมันมีค่าการจัดส่งที่ถูกมาก” โดยแท้ที่จริงแล้วมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจมากสำหรับอินเตอร์เน็ตก็คือ การที่อินเตอร์เน็ตมีทุกอย่างในการลดต้นทุนการขนส่ง เช่น ภาพยนตร์ดิจิตอลที่สามารถส่งได้จาก Hollywood ไปยัง Hong Kong ในราคาไม่กี่เพนนี ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่าราคาของสื่อจะถูกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อถึงตอนนั้น
มันยากที่จะจินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็เนื่องจากว่าอินเตอร์เน็ตไม่ได้ส่งผลมากนักต่อกระบวนการทำภาพยนตร์ ภาพยนตร์แบบเดียวกันมีต้นทุนค่าขนส่งไปยังทั่วโลกไม่กี่เพนนีนั้นอาจมีต้นทุนการผลิตเพียง 150 ล้านเหรียญฯ
Brand ได้ทำนายในปี 1984 ว่า “มันนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับเรื่องราคา ลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญาและความถูกต้องทางศีลธรรมของการจัดจำหน่าย”
เนื่องจากนักเรียนระดับวิทยาลัยคนหนึ่งได้สร้าง Napster ขึ้นมาในปี 1999 บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆได้วางกรอบความขัดแย้งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นช่องโหว่ของผู้บริหารสื่อที่ต่อสู้กับผู้บริโภคที่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยี แต่การต่อสู้ที่แท้จริงคือการต่อสู้ระหว่างผู้บริหารสื่อและนักลงทุนในเทคโนโลยี จำไว้อย่างหนึ่งว่า Napster ได้รับเงินจากกองทุน Hedge fund ซึ่งต้องการใช้สื่อในการสร้างธุรกิจของพวกเขา เบื้องหลังการโต้แย้งเรื่องศีลธรรมที่ Brand ได้ทำนายไว้ล่วงหน้าแล้วนั้นเป็นความขัดแย้งกันของผู้ถือหุ้นทั้งสองฝั่ง
ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีไม่ได้เสียน้ำตาอย่างแท้จริงนักสำหรับบริษัทอย่าง EMI กล่าวแต่เพียงว่า “พวกเขาไม่สามารถแข่งกันกับโลกออนไลน์ได้” แต่การแข่งขันมากมายที่ EMI เจอนั้นขึ้นอยู่กับการต่อสู้ที่ไม่ได้เป็นไปในทางที่ดีเพราะว่ามันไม่ได้นำไปสู่การสร้างผลิตภัณท์ที่ดีกว่า
Pirate Bay ไม่เคยพยายามปล่อยเพลงที่ดีกว่า EMI เพียงแค่กระจายเพลงเหมือนกันในแนวทางที่ไม่ได้ให้ค่าชดเชยหรือค่าตอบแทนแก่เจ้าของผลงาน เหมือนกันกับที่ Huffington Post ไม่ได้แข่งกับหนังสือพิมพ์อื่นในเรื่องของเนื้อหาข่าว แต่เพียงแค่สรุปข่าวที่ได้รายงานแล้วจากหนังสือพิมพ์อื่น ถูกกฏหมายหรือไม่ก็ตาม บริษัทจำเป็นในการผ่องถ่ายต้นทุน ในแง่เศรษฐศาสตร์อาจกล่าวได้ว่าพวกเขากำลังตีตั๋วฟรี!!
ผู้บริโภคที่ได้รับประโยชน์เหล่านี้ ก็คือคนที่สามารถเห็น อ่านและได้ยินอะไรในสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยไม่ต้องเสียเงิน แต่การตีตั๋วฟรีแบบนี่้จัดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจได้ หากมองในระยะยาวบริษัทสื่อจะมีรายได้ถดถอยไม่สามารถลงทุนในตัวศิลปินได้มาก
รายการโทรทัศน์ก็กำลังอยู่ภายใต้ความกดดันในการแทนที่ละครด้วยเรียลลิตี้โชว์และหนังสือพิมพ์กำลังถอนตัวออกไปเมื่อจำนวนการรายงานข่าวถูกลดลง บางทีในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ความยากของการทำเงินจากผลงานต้นฉบับกำลังลดทอนชนิดของนวัตกรรมที่มากับอินเตอร์เน็ต แทนที่จะลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อบอกเล่าเรื่องราวใหม่ๆ ในช่องทางใหม่ ๆ ผู้บริหารข่าวออนไลน์ต่างก็อาศัย “การผ่องถ่ายงานออกไปให้คนข้างนอกทำ” เพื่อเป็นการลดต้นทุน
ตามธรรมเนียมแล้ว ตลาดถูกสร้างขึ้นมาโดยจากสิ่งที่มีลิขสิทธิ์แต่กฎหมายเหล่านั้นไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในโลกออนไลน์ สิ่งนี้ช่วยให้บริษัทเช่น YouTube สร้างธุรกิจบนหลังของเหล่าผู้สร้างผลงานมืออาชีพ
แน่นอนว่า กฏหมายลิขสิทธิ์ต้องการการปรับปรุงในยุคดิิจิตอล นักปฏิรูปหลายคนกล่าวว่าพวกเขาชอบการปกป้อง แต่ดูจากความพยายามในการบังคับใช้แล้วมันแทบรับไม่ได้ นี่มันไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ ตลาดไม่สามารถอยู่ได้ด้วยเฉพาะพวกคนที่เต็มใจจ่ายเงิน และกฎหมายก็ไม่สามารถทำงานได้หากไม่สามารถบังคับใช้ได้
อ้างอิงจาก : www.guardian.co.uk