แนวโน้มในปัจจุบัน นวนิยายได้เริ่มปรับตัวเองให้ต้องกลายเป็นสิ่งที่มีเนื้อหาระดับนานาชาติมากขึ้นอีกทั้งรูปแบบการเขียนที่ต้องทำให้ได้รับความนิยมไม่เพียงเฉพาะในประเทศของตน ผลก็คือว่าเราได้รับรู้เรื่องราวที่มีอยู่ทุกหนแห่งบนโลกแต่กลับมาจากสถานที่ที่ไม่เคยรู้จัก มันเป็นเพื่อการค้ามากกว่าวัฒนธรรม
ถามว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ และหากเป็นอย่างนั้นแล้ว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ?
มีหลายตัวอย่างที่วิ่งเข้ามาในหัว ถ้าหากคุณฟัง Kazuo Ishiguro ผู้แต่งหนังสือเรื่อง Never Let Me Go (เป็นนักเขียนชาวอังกฤษที่ิเกิดในญี่ปุ่น โดยครอบครัวของเขาย้ายจากญี่ปุ่นมาอังกฤษตอนเขาอายุได้ 5 ขวบ ) พูดถึงอาชีพของเขาว่าอาชีพของเขานั้นถูกต้องการให้เป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งของการเปลี่ยนถ่ายจากความเฉพาะอย่างมากทางวัฒนธรรมในงานยุคแรก ๆ ไปเป็นบางอย่างที่มีความเป็นสากลระดับโลกมากขึ้น ผลที่เกิดขึ้นก็คืองานของเขามีความเป็นนามธรรมมากขึ้นและมีความเป็นตัวเองน้อยลง การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการปลดเปลื้องภาระให้กับนักแปลของเขา
และหากมองย้อนกลับไปในอดีตหลายปีมานี้ ว่ามีหนังสืออะไรบ้างที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ? หนังสือเหล่านั้นไม่ได้อิงอยู่บนเรื่องราวที่สะท้อนวัฒนธรรมร่วมสมัยและเชื่อในโลกที่พวกเขาสร้างขึ้นเองกระนั้นหรือ ยกตัวอย่างเช่น หนังสือ The Hunger Games, Harry Potter, Fifty Shades ? เปล่าเลย !!!!
และเหตุผลที่เป็นไปได้ก็น่าจะมาจากการที่เรารักหนังสือเหล่านั้นเสียมากมาย เป็นเพราะว่าหนังสือเหล่านั้นเสนอความคล้ายคลึงกันของโลกที่เราอาศัยอยู่และเป็นแหล่งรวมเอาพลังของการค้าขายที่เป็นตัวยกระดับภาพรวมของวัฒนธรรมให้มุ่งเข้าไปสู่การเป็นตัวกลางสำหรับการซื้อขายที่แสนสะดวกสบาย ดังนั้นแล้วเมื่อภาษาของการค้าได้ครอบงำทุกสิ่ง พื้นที่สำหับการเมืองหรือวัฒนธรรมจะไปอยู่ตรงส่วนไหนกันล่ะ ?
จริงอยู่ที่ว่า ท่ามกลางการดำรงชีวิตอยู่ในหมู่คนพูดภาษาอังกฤษ เรายังคงมีนักเขียนชื่อดังมากมาย แต่พวกเขาต่างเป็นนักสรรค์สร้างที่หาคนเทียบเคียงได้ยากยิ่ง และแน่นอนที่สุดพวกเขาไม่ได้ดีเสมอไป ถ้าหากในความเป็นจริง หนังสือของพวกเขาถูกตำหนิอย่างรุนแรง มันคงไม่ได้เป็นแค่สิ่งสะท้อนประสบการณ์ของมนุษย์เพียงเท่านั้น
ลองคิดดูว่า ถ้าหากคุณจำกัดขอบเขตของภาษาให้กลายมาเป็นการสร้างสิ่งทะท้อนของทุกอย่างบนโลกนี้ แต่กลับไม่ได้มีความหมายอะไร คุณจะเหลือคุณค่าอะไรทิ้งไว้ล่ะ ?
……