หนังสือเรียนมีผลต่อการสร้างทัศนคติของชาติ

Listen to this article

บทความชิ้นนี้ อ้างอิงจากงานเขียนของ Dennis Abrams

บทความใน The Economist  ชื่อ “It Ain’t Necessarily So,”  สะท้อนให้เห็นเรื่องราวและบทบาทของหนังสือแบบเรียนสำหรับเด็กที่เผยให้เห็นถึงทัศนคติของคนในชาตินั้น ๆ

 

การที่รัฐบาลสามารถควบคุมเนื้อหาในหนังสือเรียนได้นั้นนับเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง ที่ช่วยในการควบคุมระบบความคิดอันเป็นรากฐานของ เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง

กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ มีหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการศึกษาเนื้อหาหนังสือเรียนของประเทศอื่น ๆ เพื่อพยายามที่จะเข้าใจให้ดีขึ้นกว่าเดิมว่าประชาชนในประเทศนั้น ๆ คิดเห็นอย่างไรและประเทศของพวกเขาต้องการให้ประชาชนในประเทศคิดอย่างไร บางทีประเทศอื่น ๆ ก็อาจจะมีหน่วยงานแบบเดียวกันนี้

หนังสือแบบเรียนGeorg Eckert Institute เป็นศูนย์กลางสำหรับการวิจัยหนังสือเรียนที่ตั้งอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ชื่อ Braunschweig ของเยอรมันได้ทำการรวบรวมตัวอย่างหนังสือเรียนจาก 160 ประเทศทั่วโลก โดย Simone Lassig ผู้อำนวยการสถาบัน กล่าวว่า “สิ่งที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดก็คือหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนที่ในหนังสือ นอกจากนี้แล้วเรื่องของศาสนาก็กำลังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากขึ้น”

ในปี 2010 จากการศึกษาของรัฐบาลอียิปต์พบว่านอกจากหนังสือเรียนแล้วชาวอียิปต์กว่า 88% ไม่ได้อ่านหนังสือเวลาอยู่บ้าน

ส่วน  Institute for Gulf Affairs (IGA) มีสำนักงานตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ได้รายงานว่า หลักสูตรส่วนใหญ่ไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่างออกไป โดยเนื้อหาในหนังสือเรียนช่วงก่อนเหตุการณ์ 9/11 ยังคงพบเจอได้ในปัจจุบัน  ทางด้าน  Ali al-Ahmed ผู้อำนวยการสถาบัน IGA และผู้แต่งหนังสือเรียนซาอุดิอาระเบียชื่อหนังสือ forthcoming work มองว่า “ชาวยิวและชาวคริสเตียนเป็นศัตรูกันทางความเชื่อ”  ขณะเดียวกันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของซาอุดิอาระเบีย กล่าวว่า “เรามีแผนการที่จะทบทวนเนื้อหาในหนังสือเรียนทุก ๆ สามปี  แต่ Ahmed ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคงไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้  “เนื่องจากว่ารัฐต้องเอาความอยู่รอดของตนเองไปวางไว้บนความเสี่ยง” จุดประสงค์ของการศึกษาก็เพื่อที่จะให้แน่ใจว่าสังคมว่าเชื่อฟังกฏระเบียบ

ในประเทศจีน เนื้อหาในหนังสือเรียนระดับมัธยมปลายเล่าถึงความอดอยากที่เกิดขึ้นว่าเป็นผลมาจากปี 1958 เป็น “3 ปีแห่งความยากลำบากทางเศรษฐกิจ” ซึ่งเป็นช่วงปีที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรได้น้อยมาก มีการประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 30 ล้านคน เนื้อหาในหนังสือเรียนครั้งเมื่อพิมพ์แรก ๆ  กล่าวถึง  “เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ในปี 1989 อ้างถึงเหตุการณ์การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวได้ถูกถอดออกไปหลังจากมีการออกฉบับปรับปรุงใหม่ในปี 2004  ซึ่งไม่มีคำว่า “ความไม่สงบ”

สำหรับทางด้านฮ่องกง ประชาชนนับหมื่นคน นำโดยกลุ่มนักศึกษาที่เรียกตัวเองว่า Scholarism ได้ทำการประท้วงแผนของรัฐบาลที่ดูเหมือนรับนโยบายมาจากกรุงปักกิ่ง เพื่อแนะนำ “หลักสูตรการศึกษาของชาติแบบใหม่” ที่ถูกออกแบบมาให้มีความรักชาติ และก็เป็นอีกครั้งที่่เรื่องราวของการปฏิวัติวัฒนธรรมและการสลายการชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินได้ถูกตัดออกไปจากเนื้อหา ซึ่งอาจทำให้มองว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสีเรื่องประชาธิปไตยและยกย่องระบบพรรคเดียว

ในสหรัฐ ฯ ฝ่ายเสรีนิยมกังวลเกี่ยวกับการที่นักเรียนกำลังถูกสอนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาตินิยมที่เน้นไปในเรื่องอุตสาหกรรมในขณะที่กำลังลดความสำคัญเรื่องทาสและการเข่นฆ่าคนพื้นเมือง ในขณะที่ฝ่ายอนุรักษนิยมอ้างถึงเรื่องความรักชาติที่ยังน้อยไปและออกจะเป็นปัจเจกเกินไป นอกจากนี้การให้การศึกษาเรื่องเพศและวิวัฒนาการก็เป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงกันว่าควรจะถูกสอนกันอย่างไร

ในเกาหลีใต้ การรณรงค์ที่นำโดยสมาคมการแก้ไขหนังสือเรียน Society for Textbook Revise (STR) ดูจะประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้สำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือเรียนของเกาหลีใต้ถอดเนื้อหาอ้างอิงบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของวิวัฒนาการออกไป เนื่องจากในเกาหลีใต้ ผู้คนมีธรรมเนียมปฏิบัติที่ค่อนข้างเกี่ยวข้องกับศาสนาอยู่มาก ทำให้เนื้อหาของหนังสือเรียนจะไปอิงกับเรื่องราวในพระคัมภีร์มากกว่าจะเป็นที่มาหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

ในฝรั่งเศส “วิวัฒนาการไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาแต่เรื่องเศรษฐกิจต่างหากที่เป็นสาเหตุ” หลายปีมานี้ ฝรั่งเศสดูเหมือนจะมีปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจรวมทั้งหนังสือเรียนที่เต็มไปด้วยลัทธิมาสซิสต์และยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสม โดยอดีตประธานาธิบดี Sarkozy  ได้พยายามปฏิรูปการสอนเรื่องเศรษฐกิจ แต่หนังสือเรียนเศรษฐศาสตร์ฉบับใหม่ที่มีความหนา 400 หน้า แสดงให้เห็นว่ามีเพียงคนแค่หยิบมือที่ทุ่มเททำงานให้กับหน่วยงานหรือบริษัทแต่แทบไม่มีใครอยากเป็นผู้ประกอบการ

ในทางกลับกัน การที่หนังสือเรียนของชาวปาเลสไตน์ยกย่องการตายและความรุนแรงที่มีต่อชาวยิวนั้น ถูกพิสูจน์ว่าเป็นแค่เรื่องเล่าสืบต่อกันมา จากรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในปี 2010 ได้สรุปว่าหนังสือเรียนของชาวปาเลสไตน์ แสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุล อคติและความไม่ถูกต้องนั้น ไม่ได้สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงต่อชาวยิว ( ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ชาวอิสราเอลได้วาดภาพชาวปาเลนสไตน์ เป็นเหมือนดังผู้อพยพ เกษตรกรหรือไม่ก็ผู้ก่อการร้าย ไม่เคยกล่าวให้เห็นว่าพวกเขาทำงานอย่างผู้มีฝีมือเลยสักครั้งเดียว )

และชาวอัฟกานิสถานก็ตั้งคำถามว่าจะสอนประวัติศาสตร์สมัยใหม่หรือแม้แต่จะสอนพวกเขาดีหรือไม่ “เรายังไม่พร้อมที่จะเสี่ยงในระดับนี้” Attaulah Wahidyar ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าว  เรากำลังทำงานที่เป็นการสร้างชาติ สร้างรัฐ  การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของเราเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ได้ช่วยในเรื่องดังกล่าว เราไม่ต้องการให้โรงเรียนเป็นสถานที่สำหรับให้เด็กมาเริ่มต้นต่อสู้ตั้งคำถามกับประวัติศาสตร์ของประเทศ

อย่างที่ Simone Lassig ยืนยันว่า “ตราบใดที่หนังสือเรียนมีอยู่แค่แบบเดียวหรือแต่ละคนก็ใช้ต่างกัน และตราบใดที่หนังสือเรียนต้องผ่านการตรวจสอบจากรัฐ มันก็ยังคงเป็นผลจากการเมืองอยู่ดี”

สนับสนุนการทำบทความ กดไลค์ กดแชร์ หรือสามารถบริจาคเงินเพื่อเป็นกำลังใจให้กับเราได้ที่
ธนาคารไทยพาณิชย์: สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ชื่อบัญชี : HEROTHAILAND.COM
บัญชี : ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี : 667-265599-4

Similar Articles

Comments

พื้นที่ลงโฆษณา

สนใจลงโฆษณา ติดต่อ herothailand.com ราคาเพียง 500 บาทต่อปี

Advertisement

โปรโมชั่น 2 ขวด Protriva Black seeds อาหารเสริมน้ำมันงาดำ จำนวน 2 ขวด

Royal Kludge RK68

Royal Kludge RK68 RGB Hotswap USB HUB คีย์บอร์ดเกมมิ่งคีย์ไทย ไร้สายบลูทูธและมีสาย เปลี่ยนสวิตซ์ได้ เลเซอร์ไทย - English

Most Popular

Advertisement SHOPEE THAILAND

บ้านน้องแมว ทำจากไม้