ท่ามกลางการถกเถียงที่ดูเหมือนจะไม่มีข้อยุติเกี่ยวกับอนาคตของการอ่าน แต่ก็มีประเด็นที่น่าขบคิดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การอ่านไม่ได้เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสมองของเราเพียงเท่านั้น มันยังเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยร่างกายของเราอีกด้วย การอ่านถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในชีวิต เราจะถือวัสดุสำหรับอ่านอย่างไร เราจะอ่านมันยังไง พลิกไปแต่ละหน้าอย่างไร เขียนโน๊ตย่อในบรรทัดที่สนใจอย่างไร แล้วแบ่งปันเนื้อหาเหล่านั้นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานผ่านประวัติศาสตร์ของการอ่านและอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในอนาคตเราก็ยังต้องทำแบบเดียวกับที่ประวัติศาสตร์ได้สอนเรามา
การอ่านที่เป็นพื้นฐานมากที่สุดก็คือการอ่านในระดับของบุคคล ซึ่งความชอบในเรื่องที่อ่านนานวันไปจะบ่มเพาะเป็นลักษณะนิสัยและท่าท่างของบุคคลนั้น ๆ หากมองถึงอนาคตของการอ่าน นั่นหมายความว่า จากนี้ไปจะเป็นการพูดถึงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งแต่การสัมผัสวัสดุในการอ่าน ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่าน ไล่ไปจนกระทั่งวิธีการเปิด ปิดวัสดุสำหรับการอ่านที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
ไม่มีบทความไหนที่จะจับความหมายของการอ่านหนังสือได้ดีไปกว่านี้ โดยนักบุญ Augustine ได้เขียนบันทึกไว้ในช่วงปลายของศตวรรษที่สี่ว่า หนังสือโบราณที่เขียนด้วยลายมือได้เข้ามาแทนที่ม้วนกระดาษและได้รับความนิยมไปอย่างกว้างขวาง เรารู้ว่านักบุญ Augustine อ่านหนังสือในแบบที่เปิดหน้าสุ่มอ่านและใช้นิ้วมือคั่นหนังสือ จึงเปรียบได้ดังเทคโนโลยีสมัยใหม่ของหนังสือภายในช่วงชีวิตของคนนั้น ๆ เมื่อเทคโนโลยีทำให้นักอ่านเปลี่ยนเป็นการเปิดหน้าหนังสือแทนที่จะเป็นการหมุนแกนม้วนกระดาษ จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
ความสามารถในการหยิบจับตัวเล่มหนังสือได้นั้น เป็นเรื่องของวัสดุไปจนกระทั่งความรู้สึกทางด้านจิตวิญญาณ เป็นสิ่งที่ให้พลังอันมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราอย่างถึงแก่น การเข้าสันหนังสือ การเย็บสันหนังสือ ที่ทำให้หนังสือสามารถงอ ทำให้หนังสือเล่มหนึ่งมีรูปมีร่างที่เหมาะกับมือของเรา กำลังถูกแย่งตำแหน่งโดยความนิยมในอุปกรณ์อ่านหนังสือชนิดใหม่ที่รวมเอาระบบการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเข้าไว้ด้วย
Eugène Delacroix เขียนไว้ในหนังสือของเขาหลังจากวาดภาพ Dante and Virgil ที่ถือว่าเป็ผลงานชิ้นเอกในช่วงแรกของการทำงานว่า ”สิ่งที่ผมต้องจำขึ้นใจเลยก็คือมือทั้งสองข้าง” การอ่านเป็นเช่นเดียวกันกับที่ Delacroix พูดถึงงานของเขา
การวาดภาพของเด็กในครั้งแรกนั้นพวกเขามักใช้มือวาดเอง และรอยเท้าอาจจะเป็นสัญลักษณ์แรกที่เราทำขึ้นบนโลก (สำหรับเป็นบันทึกประวัติของทางโรงพยาบาล) แต่ลายมือเป็นสัญลักษณ์แรกที่สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของเราที่มีต่อโลก หนังสือคู่มือ เป็นหนังสือที่ช่วยให้เราเข้าถึงบทสรุปที่สำคัญในเรื่องนั้น ๆ ของโลก หนึ่งในหนังสือชนิดนี้ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกคือ Epictetus’s Enchiridion หรือหนังสือคู่มือของ Epictetus ในศตวรรษที่ 2 ที่พูดถึงหลักจริยธรรมของ ปรัชญาแนว Stoic
การเกิดขึ้นครั้งแรกของของแผนที่โลกสมัยใหม่ โดย Abraham Ortelius คือ Theatrum Orbis Terrarum แปลว่า โรงภาพยนตร์แห่งโลก ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1570 ช่วยทำให้โลกทั้งใบสามารถถือไว้ได้ในมือของผู้อ่าน ต่อมาในศตวรรษที่ 17 เป็นยุคสงครามศาสนาที่ย่ิงใหญ่ การดูลายมือ ความรู้บนฝ่ามือเป็นกลายวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่สำคัญ
ในศตวรรษที่ 19 การมาถึงของการอ่านแบบสัมผัส จากผลงานการประดิษฐ์ของ Louis Braille ที่คิดค้นระบบการอ่านแบบจุดนูนบนกระดาษสำหรับผู้พิการทางสายตาขึ้นในปี 1824 ซึ่งสามารถพิมพ์ตัวอักษรได้เล็กพอที่จะสื่อความหมายได้จากการใช้นิ้วสัมผัสในหนึ่งครั้ง ในช่วงปลายของศตวรรษ ห้องสุมดหลายแห่งอย่างเช่น ห้องสมุดแห่งชาติสำหรับผู้พิการทางสายตาในประเทศอังกฤษมีหนังสือที่เป็นอักษรเบลล์กว่า 8,000 รายการ ถือว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้มีปัญหาทางสายตาสามารถอ่านหนังสือได้
และเมื่อเข้ามาถึงศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นศตวรรษที่มีการทดลองมากมายกับการอ่านแบบสัมผัส ทั้งที่ทำได้จริงและไม่สามารถทำได้จริง พร้อมทั้งเกิดคำถามว่า เราจะถือหนังสือดิจิตอลอย่างไรและถือด้วยอะไร ?
สำหรับนักบุญ Augustine แล้วความใกล้ชิดกับหนังสืออาจเป็นที่สามารถหยิบจับได้ทั้งหมด และความใกล้ชิดนี้ได้เป็นเงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงตัวผู้อ่าน แต่ในทางตรงกันข้าม ตัวหนังสือดิจิตอลซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นการเปิดอ่านด้วยรูปแบบของเครือข่าย กลับสร้างความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมได้น้อยมาก
แต่ตัวอักษรดิจิตอลสามารถหยิบจับได้ การสัมผัสได้โผล่ออกมาเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสาขาใหม่ของคอมพิวเตอร์ร่วมสมัย และยังเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรม “มือถือ” ซึ่งเป็นแนวทางที่คอมพิวเตอร์พร้อมที่จะโยกย้ายไป จากห้องขนาดใหญ่ไปยังโต๊ะทำงานและมาอยู่ในมือเรา ยิ่งเราอยู่กับหน้าจอมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องพยายามเพิ่มความรับรู้้ในการสัมผัสกลับเข้าไปมากขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ส่ิงที่ร่างกายตอบสนองนั้นน้อยกว่าที่ความคิดตอบสนอง การอ่านแบบอินเตอร์แอ็คทิฟนั้นเป็นส่ิงที่มีข้อจำกัดไม่ใช่การอ่านแบบอิสระเสรีเสียทีเดียว การที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้เด็ก ๆ ฟังก่อนเข้านอนนั้น คงจะกลายเป็นเพียงเรื่องราวที่ปฏิบัติกันจนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงกระนั้นก็ยังมีความเชื่อมโยงกันระหว่างการนอนกับการอ่าน การที่พ่อแม่อ่านอ่านเสียงให้ลูกฟังด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ราบเรียบ เป็นสิ่งที่น่าจะส่งผลต่อการเข้าถึงจิตใต้สำนึกของลูกในขณะที่เขานอนหลับ ลองนึกภาพว่าเราอ่านนิทานให้ลูกก่อนนอน เมื่อตอนเริ่มอ่าน ลูกก็จะค่อย ๆ เอนตัวมาพิงเรา เขาจะรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย เราทั้งคู่สามารถมองภาพในหนังสือประกอบไปพร้อม ๆ กัน โดยที่ไม่ต้องมีโฆษณาอะไรโผล่เข้ามากวนใจ ซึ่งต่างจากการที่ต้องอ่านตามรูปแบบของเว็บไซต์ที่ค่อนข้างมีข้อกำหนด
การวิจัยครั้งใหม่ยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้อิสระกับความคิดสำหรับการเรียนรู้ เป็นการบ่งบอกว่า การที่เราไม่ต้องให้ความสนใจอะไรเป็นพิเศษถือว่าเป็นหนึ่งในวิถีทางที่ดีที่สุดในการค้นพบความคิดใหม่ ๆ การอ่านหนังสือไม่ว่าในที่เงียบหรือเสียงดัง ยังคงเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเมื่อร่างกายของเราหยุดพัก ความคิดของเราก็เริ่มทำงานไปในแนวทางที่ต่างออกไป
ดังนั้น เมื่อโลกเปลี่ยนเข้ามาสู่ยุคดิจิตอล หนังสือกับหนังสือดิจิตอล จะส่งผลต่อความคิด ลักษณะนิสัยใจคอ บุคลิกท่าทาง รวมทั้งความเข้าอกเข้าใจในเนื้อหาที่ต้องการสื่อสาร แตกต่างกันหรือไม่ การจับต้องวัสดุที่ใช้อ่านนั้น ส่งผลต่อความคิดเรา ความเข้าใจและบุคลิกภาพของเราหรือไม่
เราคงจำเป็นต้องทดสอบ…. ด้วยตัวเอง …..
* เนื้อหาบทความนี้ อ้างอิงจากงานเขียนของ Andrew Piper