บทความช้ินนี้ อ้างอิงจากงานเขียนของ Jim Milliot
Frontlist : หมายถึงหนังสือที่เพ่ิงตีพิมพ์วางจำหน่าย ซึ่งโดยทั่วไปออกวางจำหน่ายยังไม่เกิน 1 ปี
Backlist : หมายถึงหนังสือที่ตีพิมพ์ออกวางจำหน่ายนานเกินกว่า 1 ปี แต่ยังคงขายดี เพียงพอที่จะสั่งหนังสือมาคงสต็อกไว้
– — – – — – — – – – — – – — – — – – – — –
เมื่อยอดขาย e-book โตขึ้นและร้านหนังสือตามท้องถนนเริ่มหายไป ยอดขายหนังสือตัวเล่มก็ตกลงอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนการอธิบายผลกำไรที่ตกลงอย่างฮวบฮาบของ Penguin Group USA ในช่วงหกเดือนแรกของปี 2012 นั้น David Shanks ซีอีโอของ Penguin Group USA กล่าวว่า ปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากคือการลดลงของยอดขายหนังสือ Blacklist โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มหนังสือ Classics ดังนั้นการพังทะลายของสายโซ่ดังกล่าวจึงส่งผลต่อ Penguin มากกว่าสำนักพิมพ์อื่น ๆ ที่นำเสนอ Backlist อย่างเดียวกัน
แต่การลดลงในส่วนของยอดขาย Blacklist ของหนังสือ adult นั้น กำลังเกิดขึ้นมากกว่ากับเพียงแค่สำนักพิมพ์ Penguin เท่านั้น ตามข้อมูลที่ได้จาก Nielsen BookScan ระบุว่า ยอดขายหนังสือตัวเล่มในส่วนของ Fiction backlist ตกลงไป 30% เมื่อสิ้นสุดวันที่ 22 กรกฏาคม ปีนี้เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2011 ในขณะที่ยอดขายหนังสือกลุ่ม nonfiction ลดลงไป 13% ส่วนยอดขายหนังสือตัวเล่มที่เป็น non-fiction frontlist ลดลงไป 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ยอดขาย ของ frontlist เพิ่มขึ้น 2% ( ต้องขอบคุณหนังสือ Fifty Shades เป็นเบื้องต้น )
นอกจากนี้แล้วการล้มละลายของ Borders ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียพื้นที่ชั้นวางหนังสือส่งผลให้ยอดขายของตัวเล่ม backlist ตกฮวบลงไปแถมยังไม่ได้ยอดขายตัวเล่ม backlist ผ่านค้าปลีกออนไลน์มาช่วยอีกด้วย Shanks กล่าวว่า ” การที่มีหนังสือหลายล้านเล่มให้เลือกซื้อได้มากมายผ่านระบบออนไลน์นั้น โอกาสที่ใครสักคนจะค้นหาหนังสือของคุณนั้นลดลงจนไม่สามารถวัดได้ ซึ่งเขาอธิบายว่า “เนื่องจากมันมีรายการหนังสือให้เลือกมากมายเกินไป”
คุณเปิดหน้าจอเพื่อค้นหน้าหนังสือกี่หน้าจอกันก่อนที่คุณจะเหนื่อยแล้วค่อยเลือกบางสิ่งที่คุณเห็น Carolyn Reidy ซีอีโอแห่งSimon & Schuster กล่าวว่ายอดขายตัวเล่มของ Backlist ที่ตกลงไปนั้นเป็นเหมือนกันทุกที่ แต่กล่าวว่า ยอดขาย backlist e-book กลับเพ่ิมขึ้น
ผู้บริหารหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่า e-book จะยังสามารถกินพื้นที่ยอดขายตัวเล่มของ frontlist books และยังคงได้เปอร์เซ็นต์จำนวนมกจากยอดขาย backlist ด้วยเช่นกัน ตามรายงานของ Bowker Market Research ในไตรมาศสี่ของปี 2011 ( หลังจากที่ Borders ประกาศล้มละลาย ) สัดส่วนยอดขายหนังสือ e-book คิดเป็น 35% ของกลุ่มวรรณกรรมคลาสสิค ซึ่งเป็นกลุ่มหนังสือหลักที่สำคัญของ Blacklist โดยในบรรดารายการหนังสือ Kindle ขายดีของ Amazon 100 อันดับแรกนั้น จากการจัดอันดับจนถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2012 นั้น 29 รายการ เป็น Backlist รวมทั้งหนังสือที่เคยเป็น Frontlist ที่ขายดีอย่าง The Help ,Extremely Loud and Incredibly Close รวมทั้ง Millennium trilogy ของ Stieg Larsson
ทางด้าน Gary Gentel แห่ง Houghton Mifflin Harcourt กล่าวว่า “นี่ไม่ใช้เรื่องน่าสงสัย” ที่ความนิยมใน e-book กำลังส่งผลต่อยอดขายของ backlist และเขายังได้ให้ข้อมูลบางอย่างของ HMH math ของทางสำนักพิมพ์ว่าอัตรายอดขายหนังสือตัวเล่มของ frontlist ต่อ backlist อยู่ที่ 40% / 60% ในขณะที่ e-book สัดส่วนนี้จะอยู่ที่ 20/80 ”อะไรคือสิ่งที่บอกกับผมว่า การลดลงของพื้นที่ชั้นวางหนังสือนั้น มีผลอย่างมากกับ backlist การผู้บริโภคกำลังมุ่งไปที่ e-book เพราะว่าหาอ่านได้ง่ายกว่า Gentel กล่าวว่า “เหตุผลหนึ่งที่ e-book backlist กำลังเติบโตก็คือ ผู้อ่านเมื่ออ่าน e-book เล่มหนึ่งเสร็จแล้ว ก็ต้องการอ่านหนังสือเล่มอื่นต่อไป โดยที่สามารถมีให้ดาวน์โหลดได้ทันที ”
สำนักพิมพ์และผู้ขายหนังสือต่างเห็นพ้องต้องกันว่า มันไม่ใช่ว่าร้านหนังสือที่ยังเหลืออยู่ไม่สามารถขาย backlist ได้ แต่มันคือว่าพวกเขามีรายการหนังสือน้อยไป ทางด้าน David Didriksen เจ้าของร้านหนังสือ Willow Books & Cafe Acton, Mass. กล่าวว่า เขายังคงขาย Backlist ได้จำนวนมากและอาจขายได้มากกว่านี้ถ้าหากเงื่อนไขของสำนักพิมพ์ดีกว่านี้ ”เงื่อนไขทางด้านระยะเวลาการให้เครดติค่อนข้างเข้มงวด เราเพิ่งคืนหนังสือ backlist มูลค่ากว่า 20,000 เหรียญฯ ไปเมื่อเดือนธันวาคม”