บทความนี้อ้างอิงจากงานเขียนของ Copy Doctorow
การตัดสินใจของสำนักพิมพ์ Tor Books ที่จะเลิกใช้ การจัดการสิทธิดิจิตอล DRM ( DIgital Rights Management ) นั้นเป็นการส่งสัญญาณว่าได้เริ่มต้นจุดสิ้นสุดสงครามรูปแบบที่หลากหลายของ e-book
เมื่อปลายเดือนเมษายน Tor Books สำนักพิมพ์นวนิยายวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมทั้งบริษัทลูกอย่าง Tor UK ที่มีสำนักงานในอังกฤษ ได้ประกาศว่า ทางสำนักพิมพ์จะเลิกใช้ Digital Rights Management (DRM ) กับ e-book ของทางสำนักพิมพ์ทุกเล่มในฤดูร้อนนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ธุรกิจส่ิงพิมพ์ นี่เป็นการเริ่มต้นจุดจบสำหรับ DRM ซึ่งผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และสำนักพิมพ์ใช้มันเพื่อจำกัดการใช้เนื้อหาดิจิตอลของพวกเขาภายหลังการขาย ถือว่าเป็นข่าวดี ไม่ว่าคุณจะเป็นสำนักพิมพ์ นักเขียน หรือนักอ่าน หรือใครสักคนที่หยิบหนังสือมาอ่านเพียงปีละครั้ง
ส่ิงแรกที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการใช้ DRM กับ e-book ก็คือว่า มันไม่มีประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกันกับระบบ DRM ที่มีอยู่ทั้งหมด การนำ DRM มาใช้กับ e-book นั้น เชื่อว่าคุณสามารถแจกจ่าย e-book ที่สามารถเปิดอ่านได้ก็ต่อเมื่อต้องได้รับการอนุญาตก่อนและไม่มีใครเลยสักคนที่คุณส่ง e-book ให้จะรู้วิธิีการว่าต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะเปิดอ่านมัน เมื่อมีผู้ใช้สักคนหนึ่งเปิดมันได้ เกมส์ก็เริ่มต้นขึ้น !
เนื่องจากคนที่ฉลาดสามารถแจกจ่าย ebook ที่เขาได้ถอดเอา DRM ออกไปแล้ว หรือจะใช้โปรแกรมในการถอดเอา DRM ออกไป หรืออาจเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตลาดที่ถูกกฏหมายสำหรับ DRM จึงหายไป ไม่มีผู้อ่านคนไหนที่อยากซื้อ ebook แล้วเปิดอ่านได้เฉพาะเมื่อได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ และตั้งแต่ที่การทำ ebook เถื่อนเป็นธุรกิจหาได้ง่ายและยืดหยุ่นได้มากกว่าการต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อ ebook ที่ถูกต้อง จึงส่งผลให้ ebook เถื่อนที่ได้ถอดเอา DRM ออกไปแล้วนั้น ได้รับความนิยมมากกว่า ebook เพื่อการค้าที่เข้ารหัสไว้ด้วย DRM
ยังมีอะไรมากกว่านั้นอีก เนื่องจาก ebook สามารถนำมาแปลงเป็นไฟล์ดิจิตอลได้อีกเรื่อย ๆ นั่นก็คือว่า มันง่ายมากในการเข้ารหัส DRM ใหม่อีกครั้งกับ ebook เล่มเดิม หรือสแกนหนังสือ หรือจับภาพหน้าจอ ebook ที่ถูกเข้ารหัสไว้ด้วย DRM แล้วใช้โปรแกรมแปลงภาพเป็นตัวอักษร อย่างที่ Goole ได้สแกนหนังสือกว่า 16 ล้านเล่มในช่วงสองสามปีให้หลังมานี้
เท่านี้ก็เปิดอ่าน ebook ได้แล้ว !
DRM ไม่ดีต่อธุรกิจ
ถ้าหากระบบ DRM ทั้งหมด เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าที่เคยซื้อ ebook ถูกกฏหมายกลายไปเป็นคนดาวน์โหลด eb00k เถื่อน นี่ก็น่าจะเป็นผลเสียอย่างแน่นอนสำหรับสำนักพิมพ์ แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือแนวทางที่ DRM เป็นสิ่งที่เลวร้ายมากสำหรับธุรกิจ ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้วได้ลงนามในสนธิสัญญาข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา WIPO Copyright Treaty of 1996 และได้รวมเข้าไปในกฏหมายของตนเพื่อเป็นข้อกำหนดว่า การที่บุคคลใดถอดเอา DRM ออกไปจากไฟล์ดิจิตอล หากไม่ใช่ผู้จัดจำหน่ายที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในช้ินงานนั้นแล้ว ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย
ถ้าหากสำนักพิมพ์ Tor ขายหนังสือ ebook ของผมให้คุณผ่าน Kindle ที่เข้ารหัส DRM ของ Amazon ไว้ ไม่ว่าผมหรือสำนักพิมพ์ Tor จะไม่มีสิทธิในการถอดเอา DRM ของ Amazon นั้นออกไป และถ้าหากว่า Amazon ต้องการลดราคาหนังสือ ebook เล่มนั้น ( บางสิ่งที่ Amazon ได้ทำกับหลายสำนักพิมพ์มานานแล้วเมื่อข้อตกลงการจัดจำหน่าย ebook ของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นก็จะตามมาด้วยการต่อรองครั้งใหม่) และหากทางสำนักพิมพ์ Tor ต้องการให้ลิขสิทธิ์การขายหนังสือ ebook เล่มดังกล่าวนี้ให้กับคู่แข่งอย่าง Waterstone’s แล้ว สำนักพิมพ์จะต้องชั่งใจว่าผู้อ่านของพวกเขาเต็มใจที่จะซื้อหนังสือเล่มเดิมนี้ใหม่อีกครั้งหรือไม่ ?
เนื่องจากว่า มีเพียง Amazon เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถอนุญาตให้คุณถอดเอา DRM ออกไปจาก Kindle ebook และเนื่องจากว่าการทำอย่างนั้นอาจก่อให้เกิดประโยชน์ทางการค้ากับคู่แข่งโดยตรงของ Amazon ซึ่งแน่นอนว่า Amazon คงจะไม่ร่วมมือกับสำนักพิมพ์ Tor ที่จะทำอย่างนี้แน่นอน ไม่มีใครอยากจะฆ่าตัวตายด้วยการทำธุรกิจแบบนี้
หากมองย้อนกลับไปเมื่อวันที่เริ่มต้นขาย ebook สำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ ยังคงเชื่อใน DRM หรืืออย่างน้อยที่สุด ก็ไม่สงสัยที่จะอ้างถึง DRM ของผู้จัดจำหน่าย พวกเขามองว่าการใช้ DRM ”ก็ยังดีกว่าไม่ใช้เลย”
เมื่อมีการตั้งคำถามถึงความหมายโดยนัยของการแข่งขัน ในธุรกิจของพวกเขาที่สัมพันธ์กับ DRM ของผู้จัดจำหน่ายแล้ว พวกเขาจะเต็มไปด้วยความหวัง พวกเขาเข้าใจว่า “ความสามารถในการแปลงไฟล์ ebook” เป็นความท้าทายทางเทคนิคอย่างหนึ่งที่อยู่เหนือความสามารถของผู้อ่านโดยทั่วไป ซึ่งเมื่อเทียบกับตอนไม่มี DRM นั้น พวกเขาแปลงไฟล์ ebook ได้หลากหลายรูปแบบ แต่เมื่อมี DRM สำนักพิมพ์เชื่อว่า ผู้อ่านต้องดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรมพิเศษเพื่อที่จะทำให้พวกเขาสามารถแปลงไฟล์ Kindle ebook ให้ไปแสดงผลใน Nook หรือไม่ก็ในทางกลับกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญที่จะทำกันได้ง่าย ๆ
ปัญหาของรูปแบบไฟล์ ebook ที่เคยเกิดขึ้น
สำนักพิมพ์เคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายกับเรื่องของรูปแบบไฟล์ ซึ่งอาจอธิบายถึงความเข้าใจผิดที่พวกเขามีต่อความยาก “ในการแปลงไฟล์” ebook ได้
สำนักพิมพ์หลายแห่งเริ่มต้นแปลงไฟล์เรียงพิมพ์ดิจิตอลของตนด้วยโปรแกรม QuarkXPress ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ทำงานได้ค่อนข้างข้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคแรก ๆ นอกจากนี้ไฟล์งานของโปรแกรมยังยากต่อการนำไปใช้ต่อกับโปรแกรมอื่น ๆ
เมื่อสำนักพิมพ์เริ่มเปลี่ยนมาใช้การเรียงพิมพ์ด้วยโปรแกรม Adobe InDesign พวกเขาต้องใช้เงินหลายล้านเหรียญในการเปลี่ยนแปลงนี้และปัญหาทางเทคนิคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังคงหลอกหลอนพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้ แต่ทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้น ไม่มีกฏตายตัว โดยส่วนมากนักพัฒนาแอพพลิเคชันสามารถจัดการกับรูปแบบใหม่นี้ได้โดยง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นงานเอกสารเวิร์ด เบราเซอร์ โปรแกรมงานเอกสาร โปรแกรมเล่นวิดิโอ เล่นเพลงและโปรแกรมตกแต่งรูป สามารถจัดการกับรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างมากเหล่านี้ได้
แต่เมื่อบรรดานักเขียนอิสระ สำนักพิมพ์ขนาดเล็กและขนาดกลางหรือในบางโอกาสก็นักเขียนหัวดื้อย่างผม ทำ ebook ที่ไม่มี DRM ออกมานั้น ใครกันเล่าที่จะเป็นคนโน้มน้าวให้สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ปล่อย ebook ของพวกเขาออกวางขายโดยไม่มี DRM ดังนั้นมันจึงไม่ใช่จุดที่มากเกินไปในการทำโปรแกรมที่สามารถอ่าน ebook ได้ทุกรูปแบบ ผู้อ่านยังคงต้องรักษาเครื่องอ่าน ebook ไว้หลายเครื่อง สำหรับไว้อ่าน ebook แต่ละเล่มที่มี DRM แตกต่างกัน
ภาพรวมของตลาด
คนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการอ่านหนังสือ โดยทั่วไปคนซื้อหนังสือมักจะซื้อหนังสือปีละเล่มหรือนาน ๆ ที สักเล่ม ในทางตรงกันข้ามมีคนเพียงจำนวนหยิบมือที่เป็นนักอ่านตัวยง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ซื้อหนังสือ 100-150 เล่มต่อปี ตลาดนี้เป็นสิ่งที่สำนักพิมพ์ต้องออกมาป้องกันส่วนแบ่งการตลาดของตนและมีแนวโน้มว่าใครก็ตามที่ใช้เงินมากกว่า หนึ่งร้อยเหรียญฯ หรือมากกว่านั้นไปกับเครื่องอ่าน ebook ถือว่าเป็นนักอ่านตัวยง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมสำนักพิมพ์ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่กังวลไปกับการที่ Amazon จะลดราคาหนังสือ ebook มาใหม่ในราคาที่ถูกมาก เนื่องจากเจ้าของ Kindle เป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มนักอ่านตัวยงที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของตลาดสำหรับหนังสือปกแข็งออกใหม่และขายเต็มราคา
การลดราคา ebook ตอนที่หนังสือปกแข็งเพ่ิงออกใหม่ๆ ก็เหมือนเป็นการกินกันเองของหนึ่งในแหล่งที่มาของกำไรที่สำคัญในธุรกิจนี้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้อ่านเหล่านี้ก็ยังเป็นกลุ่มคนที่มีแนวโน้มที่จะต่อต้านข้อจำกัดของ DRM พวกเขาเป็นลูกค้าที่รวบรวมห้องสมุดขนาดใหญ่หลายแห่งจากผู้ขาย และให้คุณค่ากับนหนังสือของพวกเขาเสมือนเป็นสินทรัพย์ในระยะยาวที่พวกเขาคาดหวังว่าจะสามารถอ่านมันได้จนกว่าจะตายจากกันไป พวกเขาอาจมีโอกาสเปลี่ยนแปลงรูปแบบการอ่าน ebook ในทุก ๆ สองปีเพื่อให้แน่ใจว่าหนังสือของพวกเขาจะสามารถอ่านได้ แต่เมื่อไม่ได้เป็นอย่างนั้น พวกเขาจะหมางเมินและจะหาวิธีการที่จะได้หนังสือของพวกเขากลับมาในอนาคตโดยไม่ต้องรอขออนุญาต ไม่มีใครหรอกที่ต้องการถูกลงโทษจากความซื่อสัตย์ที่เขามี
นอกจากนี้แล้วก็ยังมีกลุ่มผู้อ่านกลุ่มอื่น ที่อาจจะอ่านหนังสือเป็นบางโอกาส เช่นใครสักคนที่คว้าหนังสือไปอ่านในช่วงที่ไปเที่ยวชาดหายตอนวันหยุดสุดสัปดาห์และก็โยนมันทิ้งไปหลังจากนั้น กลุ่มนักอ่านตัวยงก็มีจุดเริ่มต้นมาจากกลุ่มผู้อ่านเป็นบางโอกาส และพวกเขามีโอกาสสำหรับอ่านหนังสือมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นสำนักพิมพ์เองก็จะต้องไม่ทิ้งกลุ่มผู้อ่านเป็นบางโอกาสนี้ไป ผู้อ่านเหล่านี้ยังคงไม่ค่อยเข้าใจ DRM เนื่องจากพวกเขาไม่ค่อยรู้อะไรมากนักเกี่ยวกับ ebook และเครื่องอ่าน ebook และมีแนวโน้มว่าจะซื้อหนังสือ ebook ที่ไม่เข้ากันกับอุปกรณ์ที่ตัวเองใช้อ่านอีกด้วย แต่เมื่อไม่มี DRM แล้ว ผู้อ่านเหล่านี้จะสามารถหาเครืองมือที่ง่ายต่อการอ่านหนังสือ ebook ที่หลากหลายรูปแบบจากผู้ขายคนไหนก็ได้