บทความชิ้นนี้ อ้างอิงจากงานเขียนของ Christopher Matthews
บริษัทในแถบ West Coast อย่าง Google , Facebook , Apple และ Amazon ได้เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยพวกเขาใช้มันเป็นโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายให้กับชาวโลก
ความสำเร็จของทั้งสี่บริษัทนี้เป็นที่ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
แต่มีหนึ่งในสี่บริษัทนี้ นั่นก็คือ Amazon ที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีพื้นฐานมาจากธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นธุรกิจในการนำสินค้าจากผู้ผลิตไปยังผู้ซื้ออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และด้วยเหตุนี้เอง นวัตกรรมของ Amazon จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางทีอาจจะก้าวหน้าที่สุดในสี่บริษัทที่ว่ามานี้ และได้ฝังตัวเข้าไปในวิถีชีวิตของคนอเมริกันในแบบที่บริษัทอื่นไม่สามารถทำได้
Amazon เป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 56 ของสหรัฐฯ เมื่อวัดจากมูลค่าตลาดของบริษัทและใหญ่เป็นอันดับที่ 15 ของสหรัฐฯ ในบรรดาร้านค้าปลีกโดยวัดจากรายได้และยังเป็นร้านค้าปลีกบนอินเตอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย
สำหรับประเทศที่ดูเหมือนว่าจะถูกครอบงำโดยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ Amazon ยังมีพื้นที่ให้โตได้อีกมาก
Raymond James นักวิเคราะห์ที่ Aaron Kessler ประเมินว่า การขายสินค้าด้วยอีคอมเมิร์ซคิดเป็นตัวเลขคร่าว ๆ ราว 12% ของยอดขายปลีกทั้งหมด และตัวเลขดังกล่าวสามารถเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้ภายในอีกสิบปีข้างหน้านี้
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นเองก็มองว่า Amazon จะยังไปได้สวยและขึ้นเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีก โดยราคาหุ้นของ Amazon เป็นราคาที่เติบโตกว่าเดิมถึง 180 เท่านับจากวันที่เปิดขายหุ้นอย่างเป็นทางการ ซึ่งดีกว่า Facebook , Google หรือ Apple นี่เป็นสิ่งบ่งชี้ให้นักลงทุนเชื่อว่ายังมีโอกาสให้โตอีกมาก ดังนั้นส่วนไหนล่ะที่จะโตเพิ่มได้และอะไรกันที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำให้โตได้ แล้วมีอะไรบ้างไหมที่พอจะฉุดรั้ง Amazon ได้บ้าง
การกลับมาของความสัมพันธ์แบบค้าปลีก
ลองย้อนกลับไปเมื่อ Mom & Pop ได้สร้างความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างผู้ขายกับลูกค้าเพื่อให้ง่ายต่อการดูแลลูกค้านั้น
เจ้าของธุรกิจรู้จักลูกค้าของพวกเขาดีถึงรสนิยม ว่าพวกเขาอยากได้อะไรและอะไรที่พวกเขาต้องการ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งนี้ได้หายไป ตอนนี้ไม่มีทางที่ผู้คนจะบริหารงานค้าปลีกระดับชาติโดยอิงบนพื้นฐานของลูกค้าแต่ละรายได้
แต่ Amazon ได้เปลี่ยนมัน ! ตามที่ Grag Girard นักวิเคราะห์จาก IDC Retail Insights บอกว่า “ความแข็งแกร่งของAmazon ก็คือ ความสัมพันธ์ที่มีกับลูกค้าแบบหนึ่งต่อหนึ่งที่ยอดเยี่ยม คล้ายกันกับที่บริษัทโทรคมนาคมและธนาคารมีกับลูกค้า”
ในขณะที่ร้านตามท้องถนนทั่วไป ไม่ค่อยสนใจพฤติกรรมของลูกค้าสักเท่าไหร่นัก ทำให้ผู้จัดการร้านมองไม่เห็นความมีประสิทธิภาพ แต่ Amazon สามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลเกี่ยวกับผู้ซื้อและใช้มันในการขายสิ้นค้าให้มากขึ้นโดยการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผ่าน e-mail และเว็บไซต์ของตน สร้างประโยชน์อย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้น
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้าหนึ่งคนซื้อสินค้าสักอย่างจาก Amazon หรือเข้าสู่ระบบโดยที่ไม่ได้ซื้ออะไรเลย Amazon ก็เก็บเอาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบุคคลนั้นมากมาย เช่นดูว่าพวกเขาอ่านข้อมูลในเว็บไซต์อย่างไร เอาสินค้าอะไรใส่ในตระกร้า อะไรที่พวกเขายกเลิกและลูกค้าค้นหาสิ้นค้าภายในเว็บไซต์อย่างไร
ความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้และอะไรที่ Amazon สามารถทำได้เป็นสิ่งที่ทำให้ Amazon อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญ ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือกำหนดบทบาทการเติบโตสำหรับ e-commmerce ให้สามารถเพ่ิมยอดรายรับของตนได้
– — – — – – — – — – – — – — – – — – — –
บริบทของ Kindle
แต่การพัฒนา Kindle และ Kindle fire ไม่ได้เป็นเพียงความพยายามที่เหลือเชื่อในการต่อสู้กับคู่แข่งทางด้านเทคโนโลยี Bezos ตระหนักดีว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จำเป็นต่อการรักษาความเข้มแข็งของ Amazon ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับธุรกิจสื่อดิจิตอล
Kessler ประเมิินว่า ในระยะยาว เกือบ 90% ของการขายส่ือจะเป็นรูปแบบดิจิตอล และถ้าหาก Amazon ต้องการรักษารายได้ให้เท่าเดิม จำเป็นต้องเข้าสู่ตลาดแท็บเล็ต ที่บริษัทสามารถเปลี่ยนแปลงยอดขายได้อย่างง่ายดายโดยอาศัยเว็บไซต์ของตนและเป็นการหนีห่างคู่แข่งอย่าง Apple