Wang Xiaodong และ John V. Oyler ได้นัดทานอาหารค่ำกันที่ภัตรคารแห่งหนึ่งในปักกิ่งเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วเพื่อพูดคุยกันถึงเรื่องว่าจะเริ่มต้นธุรกิจกันอย่างไร พวกเขาพูดถึงว่าจะสามารถทำให้เกิดการปฏิวัติเล็ก ๆ ในโลกของยาจากประเทศจีนได้อย่างไร ซึ่งประเทศจีนถือว่ายังเป็นประเทศที่ไม่รู้จักการพัฒนายา เป้าหมายของพวกเขาก็คือเลียนแบบความสำเร็จของบริษัทนักสำรวจทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ Genentech และสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพระดับโลกขึ้นในกรุงปักกิ่งโดยเน้นไปที่กลุ่มยารักษาโรคมะเร็ง
หลังจากนั้น 10 เดือน Wang และ Oyler ได้ดึงนักวิทยาศาสตร์ที่เกิดในจีนและได้รับการศึกษาในอเมริกาจากหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Johnson & Johnson , GlaxoSmithKline และ Merk เพื่อที่จะมาช่วยในการวิจัยทางการแพทย์ที่ยังตามหลังบริษัทผู้ผลิตยารายอื่น ๆ ที่ได้ผลิตยาที่มีประสิทธิภาพเพื่อใช้ในการรักษาโรคมะเร็งซึ่งคร่าชีวิตชาวจีนไปกว่า สองล้านหกแสนรายในแต่ละปี พวกเขาได้ตั้งบริษัท BeiGene ที่เพิ่งได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก Merck และกำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยกับผู้ผลิตยารายอื่นอีก 7 รายรวมถึงบริษัทร่วมทุนรายอื่น เพื่อที่จะเพิ่มเงินทุนอุดหนุนจาก 100 ล้านเหรียญฯ เป็น 150 ล้านเหรียญฯ ในปีนี้
Oyler หัวหน้าผู้บริหารของ BeiGene กล่าวว่า “เราต้องการที่จะกลายเป็น Genetech ของจีน” เขากำลังกล่าวถึง บริษัทผู้ผลิตยาของอเมริกาที่ Roche Holding ได้ซื้อไปด้วยราคา 48.6 พันล้านเหรียญฯ ในปี 2009 “ผมเชื่อมั่นว่าเราได้สร้างทีมงานระดับโลกที่สามารถพัฒนายาที่ประสบความสำเร็จได้”
หนึ่งในสามของนักวิทยาศาสตร์ราวหกสิบกว่าคนของ BeiGene นั้นเกิดในจีนและได้รับการศึกษาจากอเมริกาหรือเคยทำงานในอเมริกาหรือบริษัทยาในยุโรป ประธานบริษัทของพวกเขา คือ Peter Ho นั้นเป็นแพทย์และจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Yale ก่อนที่จะมาทำงานในแผนกพัฒนายารักษาโรคมะเร็งที่ Johnson & Johnson และ GlaxoSmithKline ส่วนหัวหน้าฝ่ายนักวิทยาศาสตร์ Pearl Huang ก็เป็นด็อกเตอร์ทางด้านชีววิทยาโมเลกุลจากมหาวิทยาลัย Princeton และเคยเป็นหัวหน้านักวิจัยที่ Merck และ Glaxo สำหรับหัวหน้าฝ่ายแพทย์นั้น คือ George Chen ก็จบ MBA จาก Wharton School มหาวิทยาลัย Pennsylvania และเคยรับตำแหน่งระดับอาวุโสที่ Glaxo , Eli Lilly , J&J และ Sanofi โดย BeiGene วางแผนที่จะจ้างนักวิทยาศาสตร์เพิ่มอีก 140 คนในปี 2011
Wang ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทและได้รับสัญชาติอเมริกันนั้น ได้ลาออกจากตำแหน่งที่สถาบันทางการแพทย์ Howard Hughes รวมทั้งตำแหน่งโปรเฟสเซอร์ที่มหาวิทยาลัย Texas แล้วกลับจีนในปี 2003 เขาได้ช่วยรัฐบาลจีนในการจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์ทางด้านชีววิทยาแห่งชาติซึ่งได้รับเงินทุนอุดหนุนจากรัฐบาลจีนซึ่งเขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการอยู่ในตอนนี้ โดยมีทีมนักวิจัยกว่า 800 คน
การใช้จ่ายด้านเวชภัณฑ์ในจีนเป็นโครงการที่จะเพ่ิมขึ้น 19% ต่อปี โดยเพิ่มจาก 115 พันล้านเหรียญฯ เป็น 125 พันล้านเหรียญฯ ภายในปี 2015 ตามรายงานของสถาบัน IMS กลุ่มหลักได้แก่ โรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคที่ได้เพิ่มขึ้นในหมู่ประชากรจีนถึง 80% ในรอบสามสิบปีและเป็นสาเหตุของการตายกว่า 1.8 ล้านรายต่อปี
Wang และ Oyler ได้จัดหาเงินทุนเริ่มต้นส่วนหนึ่งสำหรับ BeiGene โดย Oyler ได้ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่า Merck ได้ลงทุนจำนวนเท่าไหร่ได้บอกแต่เพียงว่าการให้เงินทุนสนับสนุนอาจจะนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนกัน ปัจจุบัน BeiGene ได้ตั้งสำนักงานชั่วคราวที่ สถาบันวิทยาศาสตร์ชีวภาพแห่งชาติ ชานกรุงปักกิ่ง เพื่อใช้สำหรับทดสอบตัวยา 5 ชนิด โดยทั้งหมดนี้จะใช้สำหรับรักษามะเร็งที่พบได้มากในหมู่ชาวจีน ซึ่งได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งในกระเพาะ มะเร็งที่สมองและช่องคอ รวมถึงมะเร็งกล่องเสียง
BeiGene หวังที่จะซื้อตัวยาที่อยู่ระหว่างการทดสอบจากบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่ที่งบประมาณด้านการวิจัยถูกตัดทอนลง แผนงานนี้จะใช้พื้นที่ของโรงเรียนแพทย์ในกรุงปักกิ่งและโรงพยาบาลในการทดสอบการรักษาในระยะที่หวังผลมากที่สุดคือผู้ป่วยมะเร็งช่วงแรกและช่วงกลางโดยจะทดสอบในผู้ป่วยราว 100 ราย และตัวยาที่ทดสอบประสบผลสำเร็จอาจจะถูกขายกลับให้กับบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่กว่าหรือเป็นการพัฒนาร่วมกันกับบริษัทยาตะวันตกที่สามารถให้เงินทุนอุดหนุนได้มากในขั้นตอนการวิจัยขั้นสุดท้ายที่จะต้องอาศัยการทดสอบในผู้ป่วยหลายพันราย
