ร้านหนังสือ Border’s Group ถูกฟ้องล้มละลาย และได้ประกาศปิดกิจการมากกว่า 220 ร้านทั่วประเทศ

Listen to this article

หลังจากที่ Border’s Group ถูกฟ้องล้มละลาย และได้ประกาศปิดกิจการมากกว่า 220 ร้านทั่วประเทศ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันแนวโน้มของธุรกิจค้าปลีกหนังสือในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี

Jack McKeown ผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของ Perseus Books กล่าวว่า “ผมอยู่ในธุรกิจนี้มานานมากพอที่จะเห็นวัฏจักรอันแสนยาวนาน”

ร้านขายหนังสือได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 70 มีการเปิดร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้า เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้เข้าสู่พื้นฐานใหม่ที่เอื้อประโยชน์ให้มากกว่า และมีขนาดใหญ่กว่าเดิม เช่น Powell’s Books , Vroman’s Bookstore เป็นต้น ต่อมาในทศวรรษที่ 90 ร้านหนังสือบนพื้นที่ขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้น ได้แก่ Barnes & Noble และ Borders

ในวันนี้ รูปแบบของร้านหนังสือขนาดใหญ่ดูเหมือนจะวางตัวไปในแนวทางของร้านขายเพลงและเป็นสาขาของร้านเช่าวิดีโอ แม้ว่าการเกิดขึ้นของ e-commerce อาจส่งผลต่อร้านขายเพลงและเช่าวิดีโอมากกว่าที่จะกระทบกับผู้ขายหนังสือ

Brian Paeper เจ้าของร้านหนังสือ Alias Books ใน Los Angeles บอกว่า “แนวโน้มในการขายหนังสือก็เหมือนกับสินค้าอื่น ๆ ในตลาด ซึ่งได้หย่าขาดจากวัฏจักรเศรษฐกิจ มันเป็นความแตกต่างอย่างหนึ่งของการปรับตัว มีสิ่งต้องทำกับอุตสาหกรรมหนังสือแต่ทว่ามีสิ่งที่ต้องทำน้อยมากกับตัวเศรษฐกิจ ถ้าหากคุณคิดว่ามันเป็นเรื่องของเศรษฐกิจและตั้งตารอคอยให้ธุรกิจหนังสือกลับเข้ามาพร้อมกับสภาพเศรษฐกิจ นั่นคือคุณกำลังเอาหัวคุณฝังลงไปในทราย”

McKeown บอกว่า “ในที่สุดแล้ว ผมรู้สึกว่าวันนั้นได้ผ่านไปแล้ว เมื่อร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่มีหนังสือ 150,000 ถึง 200,000 เล่ม บนพื้นที่กว่า 25,000 ตารางฟุต เหมาะที่จะเป็นสถานที่ที่คนออกมาเลือกซื้อหนังสือและสร้างความรู้สึกของการค้นหาส่ิงที่ตนเองต้องการ ”

“รูปแบบนี้เคยรุ่งเรืองอย่างมากในตอนปลายทศวรรษที่ 80 ต่อเนื่องถึงยุค 90 ผมไม่คิดว่ามันจะสามารถทำได้อย่างเดิมแบบที่เคยทำได้และในบางที่หากมองในแง่ของต้นทุนการจัดการและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ มีบางอย่างที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สำหรับประสบการณ์การสำคัญในการเปิดร้านขายหนังสือ”

แต่เมื่อร้านหนังสือขนาดใหญ่ได้ปรับตัวเข้าสู่รูปแบบของ e-commerce เต็มตัว เขาคิดว่าร้านหนังสือทั่ว ๆ ไป จะมองเห็นโอกาสขึ้นมาอีกครั้ง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงประโยชน์จากการลงทุนในร้านหนังสือของ Harvard Bookstore ใน Cambridge ซึ่งในปี 2009 ได้ติดตั้่งเครื่องพิมพ์หนังสือ Espresso Book Machine เจ้าของร้านก็คือ Jeffery Mayersohn

ราวก่อนหน้านี้สักอาทิตย์ก่อนที่เราจะติดตั้่งเครื่องพิมพ์หนังสือนั้น เราได้ประกาศข้อตกลงทำธุรกิจร่วมกับ Google ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ Google ได้สแกนไว้ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าถึง Harvard’s Widener Library แต่ในปัจจุบัน หากพวกเขาต้องการหนังสือสักเล่มจากห้องสมุดนี้ ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำก็คือข้ามถนนไปที่ Harvard Bookstore แล้วสั่งพิมพ์หนังสือ เนื่องจาก Harvard เป็นหนึ่งในบรรดาห้องสมุดที่อนุญาตให้ Google สแกนหนังสือในห้องสมุดได้

ในตอนแรก ความต้องการส่วนมากในการใช้เครื่อง Espresso Book Machine นั้น มีไว้สำหรับหนังสือที่ถูกสแกนโดย Google ( ถูกขายเป็นครั้งแรกในราคาโปรโมชัน คือ $8 ต่อเล่ม ซึ่งในปัจจุบัน จะคิดราคาตามจำนวนหน้า ) ลูกค้าที่อยู่บริเวณนั้น สามารถที่จะสั่งหนังสือโดยสั่งพิมพ์และจัดส่งโดยจักรยานซึ่งทำให้หนังสือส่งถึงมือพวกเขาเร็วกว่าสั่ง Amazon และยังได้เพ่ิมประโยชน์ของการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
มีการประกวดตั้งชื่อเครื่องพิมพ์นี้ มีชื่อเล่นว่า Paige M. Gutenborg เราชอบที่จะเรียกมันว่า Paige Mayer กล่าว

John Conley รองประธานฝ่ายสิ่งพิมพ์ของ Xerox ผู้จัดจำหน่าย Espresso Book Machine กล่าวว่า “การผสมผสานระหว่าง การพิมพ์หนังสือตามความต้องการนั้น สำหรับผู้ขายหนังสือแล้วถือเป็นการเปลี่ยนแปลงความสำคัญของสินค้าคงคลัง
ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ สำนักพิมพ์มีความยืดหยุ่นในการพิมพ์หนังสือตามความต้องการของผู้ขายและลูกค้าของพวกเขาโดยไม่ต้องสร้างหนังสือคงสต็อกมากเกินไปสำหรับร้านที่มีพื้นที่จำกัด เมื่อพลังของราคามีความสำคัญมากขึ้น การประหยัดเกิดขึ้นได้โดยการลดการขนส่งและความต้องการในการสต็อกหนังสือยังเป็นประโยชน์กับผู้ขายหนังสืออีกด้วย”

Mayersohn กล่าวว่า “ผมซื้อร้านนี้ด้วยวิสัยทัศน์บางอย่าง ซึ่ง Paige เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ผมเริ่มตระหนักว่า การทำหนังสือดิจิตอลซึ่งหลายคนโต้เถียงกันว่าเป็นปัญหาสำหรับร้านขายหนังสือ ได้กลายเป็นสินทรัพย์สำหรับร้านขายหนังสือเพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เราสามารถมีสต็อกหนังสือที่แข่งขันได้กับสต็อกหนังสือของคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดบนโลกออนไลน์
ดังนั้นนับจากวันที่เรามี Paige เราได้เพิ่มรายการหนังสือกว่า 4 ล้านรายการในสต็อกของเราโดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสต็อกเลย เห็นได้ชัดว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหากโกดังสำหรับเก็บหนังสือ 4 ล้านเล่ม”

Richard Davies ผู้จัดการฝ่ายสินค้าของ Abebooks บอกว่า “สำหรับหนทางอื่น ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ คือ ผ่านช่องทาง e-commerce ผู้ขายหนังสือคนไหนก็ตามที่ไม่ได้ขายบนโลกออนไลน์ด้วยเป็นไปได้ว่าจะพลาดยอดขายด้วย ตลาดขายหนังสือโลกทุกวันนี้ ผู้ขายควรพิจารณาการขายหนังสือผ่านช่องทางที่หลากหลายเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็น ผ่านร้านของตัวเอง เว็บไซต์ของตนเอง ตลาดกลางออนไลน์ งานหนังสือ เทศกาลต่าง ๆ ยังมีผู้ขายหนังสือที่เน้นขายเฉพาะออนไลน์และยังมีผู้ขายหนังสือที่ใช้การขายออนไลน์เข้ากับการขายหนังสือแบบออฟไลน์”

ผู้ขายหนังสือและสำนักพิมพ์ทั้งหมด ตั้งแต่ Powell’s ใน Oregon ไปจนถึง Book Depository ในอังกฤษ ได้เสนอสินค้าสำหรับขายผ่าน AbeBooks ซึ่งต่างจากบริษัทแม่อย่าง Amazon ที่เสนอการขายตลาดหนังสือโลกจากฐานข้อมูลออนไลน์เพียงอย่างเดียว

McKeown บอกว่า “ไม่มีอะไรตายตัว ผู้อ่านชอบทั้งสองรูปแบบ ด้วยเหตุผลของความสะดวกสบาย พวกเขาอาจจะซื้อหนังสือบางหมวดเป็นกรณีพิเศษในรูปแบบของ e-book แต่สำหรับบางเล่มพวกเขาต้องการจะมีไว้ที่บ้านเป็นของที่ระลึกหรือหนังสือที่พวกเขาต้องการที่จะกลับมาอ่านและรับรู้ได้ด้วยการสัมผัสเป็นสิ่งสำคัญ พวกเขาจะยังคงซื้อหนังสือในรูปแบบตัวเล่มต่อไป”
เขาเสริมว่า “ พวกเรากำลังมองเห็นว่าไม่มีหลักฐานโดยตรงยกเว้นหนังสือตลาดที่ขายดี การกินกันเองอย่างแท้จริงกำลังเกิดขึ้นทั่วไปดังเป็นผลให้ e-book แบ่งยอดขายไปจากตลาดตัวเล่ม”

บางทีการมี e-book ยังคงเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ขายหนังสือแบบเดิม ๆ กับบริษัทอย่างเช่น Barnes & Noble ได้วางเสาหลักในอนาคตของพวกเขาไว้กับการดึงผู้อ่าน e-book ด้วยอุปกรณ์อ่าน e-book และ e-bookstore ของบริษัทเอง

Book-A-Million ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ Barnes & Noble ( B&N ) ได้เสนออุปกรณ์อ่าน e-book ของ Barnes & Noble ที่ชื่อ Nook ในส่วนของ Borders เอง ก็ออกอุปกรณ์อ่าน e-book ที่ชื่อ Kobo และยังขายแท็บเล็ตจอสี ชื่อ Micro Cruz ตาม Amazon เข้าสู่พื้นที่ของ e-reader แม้ว่า B&N เป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ที่ได้รวมเอา e-book ไว้ในการขายปลีกและยุทธศาสตร์การตลาด ในส่วนของ Nook color นั้น B&N หวังว่าจะช่วยจับพื้นที่กลุ่มหนังสือเด็กที่กำลังเติบโตซึ่ง Amazon ยังไม่ได้ครอบครองอยู่ในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม สำหรับกลยุทธุ์ใหม่ของ Amazon เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ลงทุนกับการทำ ad-supported book space กับ อุปกรณ์ Kindle ของตัวเองในราคาพิเศษซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยตัดราคาลง $25 ให้กับผู้บริโภคที่เต็มใจให้มีโฆษณาแทรกขึ้นมาในหนังสือ e-book ของตนเอง และมีข่าวลือต่อเนื่องออกมาว่า Amazon กำลังจะวางจำหน่าย Kindle จอสี

ตลาดของหนังสือขายดีที่เรียกว่า Bestseller นั้น ยังคงเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันมากที่สุด ด้วยการขยายพื้นที่ของ e-book อย่างรวดเร็วและการแข่งขันการขายผ่านระบบออนไลน์สำหรับผู้บริโภค ระหว่างผู้ขายหนังสือแบบเดิม ๆ กับผู้ขายหน้าใหม่ เช่น Costco และ Wal-mart พวกผู้ขายเหล่านี้ได้ให้บทเรียนสำหรับผู้ขายหนังสือทั่วไปว่าอะไรที่พวกเขาสามารถแข่งขันได้และไม่ได้

สนับสนุนการทำบทความ กดไลค์ กดแชร์ หรือสามารถบริจาคเงินเพื่อเป็นกำลังใจให้กับเราได้ที่
ธนาคารไทยพาณิชย์: สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ชื่อบัญชี : HEROTHAILAND.COM
บัญชี : ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี : 667-265599-4

Similar Articles

Comments

พื้นที่ลงโฆษณา

สนใจลงโฆษณา ติดต่อ herothailand.com ราคาเพียง 500 บาทต่อปี

Advertisement

โปรโมชั่น 2 ขวด Protriva Black seeds อาหารเสริมน้ำมันงาดำ จำนวน 2 ขวด

Royal Kludge RK68

Royal Kludge RK68 RGB Hotswap USB HUB คีย์บอร์ดเกมมิ่งคีย์ไทย ไร้สายบลูทูธและมีสาย เปลี่ยนสวิตซ์ได้ เลเซอร์ไทย - English

Most Popular

Advertisement SHOPEE THAILAND

บ้านน้องแมว ทำจากไม้