บทความชิ้นนี้ อ้างอิงจากงานเขียนของ Joe Mohen
เราต่างได้ยินกันตลอดเวลาว่าระบบการศึกษาของสหรัฐฯกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องมีการปฏิรูปและเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แล้วเขากำลังทิ้งห่างเราไปแทบไม่เห็นฝุ่น การปฏิรูปการศึกษาเป็นประเด็นสำคัญและสามารถก่อให้เกิดการถกเถียงกันในหลายประเด็น แต่การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้หนังสือเรียนของเด็กและวรรณกรรมเยาวชนสามารถหาซื้อได้รวมทั้งขายได้ทำให้เกิดความแตกต่าง ความต้องการของสำนักพิมพ์และผู้จัดจำหน่าย e-book มีนัยสำคัญอย่างไร ?
ดังที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาในสหรัฐฯ แทบจะไม่เคยมีหนังสือเรียนที่เป็น e-book ของพวกเขาเลย และร้านหนังสือ e-book ใหญ่ ๆ อย่าง Amazon และ Apple ก็ไม่เคยแม้แต่จะจัดให้มีการค้นหาที่พื้นฐานง่ายที่สุดให้เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาเหล่านี้ค้นหาหนังสือเรียนในระดับการอ่านของตน
เมื่อผู้ปกครองมองเห็นศักยภาพดังกล่าวของ e-book ในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา พ่อแม่ชาวอเมริกันนับล้านคนได้ให้เครื่องอ่าน e-book อย่าง iPad, Kindle และ Nook เป็นของขวัญวันคริสมาสต์แก่ลูก ๆ โดยพวกเขาคาดหวังที่จะดาวน์โหลดหนังสือเรียนในแบบ e-book ที่เหมาะสมกับระดับการอ่านการเรียนของลูก ๆ ใส่ลงไปในเครื่องอ่าน e-book แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นว่าลูก ๆ และเพื่อนของพวกเขาใช้อุปกรณ์เหล่านั้นเล่นเกมส์รวมทั้งใช้ไปเพื่อความบันเทิงอย่างอื่นมากกว่าจะใช้มันเพื่ออ่านหนังสือ
ส่ิงที่ผมเห็นก็คือว่าไม่มีหนังสือเรียนของเด็กที่เป็น e-book ผมไม่สามารถดำดิ่งลึกลงไปค้นหาว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ศักยภาพสำหรับการทำกำไรเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอสำหรับจูงใจในการทำหนังสือเรียนให้อยู่ในรูป e-book ได้ พ่อแม่หลายคนจะซื้อหนังสือเรียนให้ลูก ๆ ทั้งปกแข็งและปกอ่อน ผมไม่ได้พูดถึงแค่เพียงบรรดาพ่อแม่ที่มีเงินส่งลูกเข้าโรงเรียนเอกชนเท่านั้น พ่อแม่ที่มีรายได้น้อยก็เต็มใจที่จะใช้เงินไปกับการซื้อเครื่องอ่าน e-book และหนังสือเรียน e-book รวมทั้งงานเขียนอื่น ๆ ที่เป็น e-book ให้กับลูกๆ เช่นกัน
โดยเครื่องอ่าน e-book หนึ่งเครื่องสามารถบรรจุหนังสือ e-book ได้หลายเล่ม มากกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะสามารถแบกไปเรียนได้ คุณเคยเห็นขนาดของกระเป๋าหนังสือของเด็ก ๆ ที่บวมเป่งไหมล่ะ ? เด็กมากมายกำลังใช้กระเป๋าหนังสือแบบมีล้อลากเหมือนกำลังไปเที่ยวต่างจังหวัด
มาทำให้บรรดาเด็กเหล่านี้ได้หยุดพักจากการลากกระเป๋าและหันมาใช้หนังสือเรียนแบบ e-book แทนกันดีไหม ?
นอกจากหนังสือเรียนแล้ว หนังสือของเด็กอย่างอื่นก็สามารถทำเป็น e-book ได้เช่นกัน แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ไม่มีร้านหนังสือออนไลน์ที่ไหนที่สามารถให้ค้นหาหนังสือตามระดับการอ่านได้ ผมได้ติดต่อไปที่ Scholastic สำนักพิมพ์ชั้นนำที่ทำหนังสือเด็ก และทางประชาสัมพันธ์ได้แจ้งกับผมว่าทางสำนักพิมพ์ได้จัดทำ app ที่ชื่อว่า Storia ที่สามารถค้นหาหนังสือของทางสำนักพิมพ์ได้ตามระดับการอ่าน ขั้นตอนนี้มาถูกทางแล้วแต่กับผู้ขายรายอื่นนั้นยังไม่สามารถทำแบบนี้ได้
ร้านหนังสือออนไลน์ชั้นนำจำเป็นต้องนำเสนอการค้นหาแบบที่เลือกตามระดับการอ่านได้ นอกจากนี้แล้วพวกเขาควรร่วมมือกับสำนักพิมพ์ชั้นนำที่ทำเกี่ยวกับหนังสือเรียน อย่าง Addison-Wesley , Pearson , McGraw-Hill รวมทั้ง Houghton Mifflin Harcourt ในการที่จะทำให้หนังสืือเรียนออกมาเป็น e-book
และเมื่อพวกเขาพร้อมที่จะร่วมมือกันแล้ว ทุกฝ่ายควรแน่ใจว่าการทำ e-book ของหนังสือเรียนนั้นต้องมีคุณสมบัติที่เป็นมูลค่าเพิ่มซึ่งจะช่วยทำให้หนังสือเรียน e-book ดังกล่าวสามารถสอดแทรกเนื้อหาและกระตุ้นให้เด็กมีความสุขในการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น พ่อแม่หลายคนอาจเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อ e-book คุณภาพดีสักเล่มที่ทำให้ลูก ๆ ของพวกเขารู้ความหมายของคำศัพท์รวมทั้งออกเสียงได้ดีขึ้นรวมทั้งสามารถปรับปรุงข้อผิดพลาดหรือเนื้อหาของหนังสือในแง่ของตรรกะทางวิทยาศาสตร์หรือเนื้อหาทางด้านการเมืองให้เป็นปัจจุบันได้
ตามการประเมินของ Program for International Student Assessment นั้น ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้แซงหน้าสหรัฐฯ ไปแล้ว และช่องว่างนี้จะกว้างมากขึ้นทุกที เนื่องจากเกาหลีใต้มีนโยบายให้ใช้หนังสือเรียน e-book ในโรงเรียนของรัฐ และในปี 2015 เด็กนักเรียนทุกคนในเกาหลีใต้จะมีหนังสือเรียนที่มีเนื้อหาเป็นปัจจุบันมากที่สุดและสามารถเข้าถึงหนังสือเรียนดังกล่าวได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้ลดต้นทุนของโรงเรียนในการที่จะต้องพิมพ์หนังสือออกมา เก็บรักษาหนังสือและจัดจำหน่ายหนังสือที่อีกไม่นานก็จะมีเนื้อหาที่ล้าสมัย
เราสามารถเรียนรู้จากเกาหลีใต้ได้มากกว่าการเต้นกังนัมสไตล์ !!!!